สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2537

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2537

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 173 (1)

คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 5 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานในงวดดังกล่าว โดยยังไม่ได้เลิกสัญญาต่อกัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 6 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.5 กับเงินที่จำเลยหักไว้ร้อยละสิบของเงินค่างวดเป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานคนละงวดคนละตอนกันทั้งเงินร้อยละสิบของเงินค่างวดที่จำเลยหักไว้ โจทก์จะได้รับคืนหรือไม่เมื่อเลิกทำงานกันก่อนที่งานจะเสร็จเรียบร้อย เป็นความรับผิดหลังจากเลิกสัญญาแล้ว จึงเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วน ๆ ต่างหากจากกัน เมื่อมีการผิดนัดหรือความรับผิดในส่วนใดโจทก์ย่อมฟ้องส่วนนั้นได้ทันที และฟ้องในส่วนที่จะต้องรับผิดใหม่ได้อีกต่างหาก ฟ้องโจทก์จึงมิใช่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันอันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1)

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารแอมบาสซาเดอร์คอร์ท เป็นเงินค่าจ้าง 5,500,000 บาท และได้ทำสัญญาเพิ่มเติมเป็นเงิน 1,100,000 บาท โจทก์ทำการก่อสร้างจนเสร็จงานงวดที่ 5 ตามสัญญาเดิมและงานงวดที่ 2 ตามสัญญาเพิ่มเติมกับได้ทำงานเก็บเพื่อความเรียบร้อยตามการทำงานในงวดที่ 6 ตามสัญญาเดิมและงวดที่ 3 ตามสัญญาเพิ่มเติมไปเกือบเสร็จงาน คงเหลืองานค้างประมาณร้อยละห้าเท่านั้น โจทก์ทำหนังสือขอเบิกเงินงวดที่ 5ตามสัญญาเดิมและขอเบิกเงินงวดที่ 2 ตามสัญญาเพิ่มเติม แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีที่ศาลชั้นต้น ตามคดีหมายเลขดำที่ 6551/2527 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา โจทก์ได้ทวงถามเงินค่างานงวดที่ 5 ตามสัญญาเดิม และงวดที่ 2 ตามสัญญาเพิ่มเติมจากจำเลยแต่จำเลยเพิกเฉยเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงหยุดทำงานกับเรียกค่าเสียหายและค่าจ้างทำของซึ่งโจทก์ได้ทำงานเสร็จไปร้อยละเก้าสิบห้ารวมเป็นเงิน 1,852,500 บาท และจำเลยต้องคืนเงินที่หักเก็บไว้ร้อยละสิบจากเงินค่างวดรวม 495,000 บาท ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,625,375 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 เพราะโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 6551/2527 เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญา และไม่มีสิทธิเรียกเงินที่หักไว้คืน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,155,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 6551/2527ของศาลชั้นต้น ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญากัน ส่วนในคดีนี้เมื่อพิพาทกันในประเด็นเรื่องเลิกสัญญา ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของคู่สัญญาที่โจทก์หยุดทำงานแล้วจำเลยเลิกสัญญาและว่าจ้างผู้อื่นทำงานต่อจนเสร็จเรียบร้อย เป็นการเลิกสัญญากันแล้วจำเลยมิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติรับฟังได้ว่ามีการเลิกสัญญากันแล้ว การฟ้องคดีของโจทก์จะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องแล้ว คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาก่อสร้างต่อเติมอาคารแอมบาสซาเดอร์คอร์ท โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คดี คดีหมายเลขดำที่6551/2527 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 5ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานในงวดดังกล่าวซึ่งได้เกิดขึ้นในขณะที่ผิดสัญญาในงวดที่ 5 ตามเอกสารหมายจ.4 และงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 แต่คดีนี้โจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 6 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.5 กับเงินที่จำเลยหักไว้ร้อยละสิบของเงินค่างวดเป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานคนละงวดคนละตอนกันทั้งเงินร้อยละสิบแห่งค่างวดที่จำเลยหักไว้โจทก์จะได้รับคืนหรือไม่เมื่อได้เลิกทำงานกันไปก่อนที่งานจะเสร็จเรียบร้อย ซึ่งเป็นความรับผิดหลังจากเลิกสัญญาแล้ว จึงเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วน ๆต่างหากจากกัน เมื่อมีการผิดนัดหรือความรับผิดในส่วนใด โจทก์ย่อมฟ้องส่วนที่จำเลยรับผิดได้ทันที และฟ้องในส่วนที่จะต้องรับผิดใหม่ได้อีกต่างหาก การฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีมิใช่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันอันจะเป็นการต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ห้างหุ้นส่วนจำกัด ปี เตอร์ เฟอร์นิเจอร์ จำเลย - บริษัท อนันต์ และ ครอบครัว จำกัด

ชื่อองค์คณะ ก้าน อันนานนท์ ประยูร มูลศาสตร์ ไพศาล รางชางกูร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th