คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2963/2563
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ม. 40
สัญญาเช่าระหว่างผู้คัดค้านทั้งสามกับผู้ร้องระบุว่า หากมีความผิดพลาดเกี่ยวกับการเช่าและค่าเสียหายเกิดขึ้นตามสัญญา ให้ทั้งสองฝ่ายเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนมีการฟ้องร้องคดีทุกครั้งโดยมิได้มีข้อกำหนดจำกัดขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการไว้ เมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าและเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด การที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทจากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบจึงเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทภายในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่ต้องด้วยเหตุให้ศาลเพิกถอนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) เมื่ออนุญาโตตุลาการเห็นว่ากรณีฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสามปฏิบัติผิดสัญญา ส่วนการยื่นคำขอรังวัดที่ดิน ตรวจสอบที่ดิน ชี้แนวเขต ตลอดจนทำรูปแผนที่บอกขนาดของที่ดินเป็นกิจการที่ผู้เช่าและผู้ให้เช่าจะต้องร่วมมือกันดำเนินการในปัญหาการฟ้องขับไล่ผู้เช่าเดิมและการรังวัดที่ดินให้บรรลุล่วงไปด้วยดีนั้น เป็นคำชี้ขาดให้คู่สัญญากระทำการตามสัญญาต่อไป จึงไม่ใช่คำชี้ขาดเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมาย ทั้งการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวก็ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คำชี้ขาดที่ศาลมีอำนาจเพิกถอนได้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ก) (ข)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้คัดค้านทั้งสามทำการรังวัด ทำรูปแผนที่บอกขนาดของที่ดิน โดยทำเป็นเอกสารพร้อมส่งมอบให้แก่ผู้ร้องภายใน 15 วัน นับแต่มีวันที่ชี้ขาดข้อพิพาท หากผู้คัดค้านทั้งสามไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแทนการแสดงเจตนาของผู้คัดค้านทั้งสามในการรังวัดทำแผนที่บอกขนาดที่ดินทั้งหมดโดยผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ให้ผู้คัดค้านทั้งสามดำเนินการขับไล่ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่ผู้เช่าเดิมและบริวารตลอดจนบุคคลอื่นที่เข้ามารบกวนสิทธิภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งรวมทั้งกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้ร้องได้รับที่ดินที่ให้เช่าไปโดยปราศจากการรอนสิทธิ ให้ผู้คัดค้านทั้งสามดำเนินการจดทะเบียนขยายอายุสัญญาที่เช่าที่ดิน (เดิม) เพิ่มเติมใหม่หรือจดทะเบียนยกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน (เดิม) พร้อมกับจดทะเบียนการเช่าที่ดินใหม่เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อตกลงตามสัญญาให้เช่าต่อท้ายสัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 มีนาคม 2556 ทั้งหมดเว้นแต่กำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าเป็นรายปีนั้นให้เริ่มนับตั้งแต่วันจดทะเบียนใหม่เป็นต้นไปจนครบ 30 ปี และส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ให้เช่าโฉนดเลขที่ 2735 ทั้งแปลงให้แก่ผู้ร้องให้มีอายุสัญญาเช่าครบ 30 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียนขยายอายุสัญญาเช่าใหม่พร้อมกันโดยปราศจากภาระผูกพันและการรอนสิทธิใด ๆ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ผู้คัดค้านทั้งสามสามารถดำเนินการได้หรือพร้อมจดทะเบียนและส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ให้เช่า หากผู้คัดค้านทั้งสามไม่ดำเนินการจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแทนการแสดงเจตนาของผู้คัดค้านทั้งสามโดยผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายและค่าอากรต่าง ๆ ทั้งหมด ให้ผู้คัดค้านทั้งสามชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้องในอัตราวันละ 50,000 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไป จนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอของผู้ร้องได้ครบถ้วน กับให้ผู้คัดค้านทั้งสามชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ค่าป่วยการของอนุญาโตตุลาการและค่าทนายความแทนผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2555 และวันที่ 1 มีนาคม 2556 หากผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นการแสดงเจตนา และให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสามริบเงินค่าเช่าที่ผู้ร้องชำระล่วงหน้า 3 ปี เป็นค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านทั้งสาม
ระหว่างพิจารณา ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงแก่ความตาย นางชนิกา ทายาทของผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสามเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2735 เนื้อที่ 38 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 ผู้ร้องทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับผู้คัดค้านทั้งสามมีกำหนดเวลา 30 ปี โดยจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางปะกง วันที่ 10 มีนาคม 2558 ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทราขอให้บังคับนางฉัตรมงคล ขนย้ายทรัยพ์สินและบริวารออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว ศาลพิพากษายกฟ้อง ผู้ร้องชำระค่าเช่าแก่ผู้คัดค้าน 3 ปี เป็นเงิน 1,047,375 บาท วันที่ 11 เมษายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านทั้งสามดำเนินการตามสัญญาเช่าและใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้อง อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งจะอุทธรณ์ได้เฉพาะกรณีที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 จึงต้องวินิจฉัยก่อนว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามหรือไม่ เห็นว่า สัญญาเช่าระหว่างผู้คัดค้านทั้งสามกับผู้ร้อง ข้อ 10 ระบุว่า หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเช่าและค่าเสียหายเกิดขึ้นตามสัญญาฉบับนี้ให้ทั้งสองฝ่ายเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนมีการฟ้องร้องทุกครั้ง โดยมิได้มีข้อกำหนดจำกัดขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการไว้ ดังนั้น เมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าและเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด การที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทจากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบจึงเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทภายในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่ต้องด้วยเหตุให้ศาลเพิกถอนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ผู้ร้องขอให้ศาลเพิกถอนสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าระหว่างผู้คัดค้านทั้งสามกับผู้ร้อง เมื่ออนุญาโตตุลาการพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบแล้วเห็นว่า กรณีรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสามปฏิบัติผิดสัญญา ส่วนการยื่นคำขอรังวัดที่ดิน ตรวจสอบที่ดิน ชี้แนวเขต ตลอดจนทำรูปแผนที่บอกขนาดของที่ดินเป็นกิจการที่ผู้เช่าและผู้ให้เช่าจะต้องร่วมมือกันดำเนินการในปัญหาการฟ้องขับไล่ผู้เช่าเดิมและการรังวัดที่ดินให้บรรลุล่วงไปด้วยดีนั้น เป็นคำชี้ขาดให้คู่สัญญากระทำการตามสัญญาต่อไป จึงไม่ใช่คำชี้ขาดเกี่ยวกับข้อพิพาทที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมาย ทั้งการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวก็ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คำชี้ขาดที่ศาลมีอำนาจเพิกถอนได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ก) (ข) ส่วนอุทธรณ์ของผู้ร้องในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นการโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนและโต้แย้งการให้เหตุผลในการวินิจฉัยตีความสัญญาของอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจชี้ขาดตัดสินคดีให้เป็นไปตามคำขอของผู้ร้อง โดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดไปจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามเพราะไม่เข้าข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (1) ถึง (5) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นนี้ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.231/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ ผู้ร้อง - บริษัท ม. ผู้คัดค้าน - นาง ว. กับพวก
ชื่อองค์คณะ พิสุทธิ์ ศรีขจร เทพ อิงคสิทธิ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่ง - นางสาวพัดชา พานพิทักษ์