สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2540

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23, 59, 229

การขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป ศาลจะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลเฉพาะรายตามที่ได้ยื่นคำร้องนั้น ๆ ไม่มีผลถึงคู่ความรายอื่น สิทธิในการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่อง เฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เฉพาะของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาต เป็นการอนุญาตให้เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้จะถือสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์มาพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย หาได้ไม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ยอมรับว่าจำเลยทั้งสามได้ซื้อที่ดินจากโจทก์ รวมเป็นเงิน 7,516,250 บาท จำเลยทั้งสามยอมรับว่าจำเลยทั้งสามยังเป็นหนี้ค่าที่ดินอยู่อีก 3,088,204 บาท จำเลยทั้งสามได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงเทพ จำกัด จำนวน 12 ฉบับ ให้ไว้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ดังกล่าว เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับ จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,551,435 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,088,204 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามได้ชำระเงินจำนวน 3,088,204 บาท แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ให้จำเลยทั้งสามทำไว้เพื่อเป็นการค้ำประกันโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงิน แก่โจทก์เท่านั้น โจทก์ยังให้จำเลยทั้งสามสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ล่วงหน้า จำนวน 12 ฉบับ เมื่อโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและได้รับชำระค่าที่ดิน สัญญาประนีประนอมยอมความจะเลิกต่อกันและโจทก์จะคืนเช็คทั้ง 12 ฉบับ ให้ภายหลังโจทก์ไม่ยอมคืนสัญญาประนีประนอมยอมความและเช็คให้แก่จำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,088,204 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป ศาลจะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลเฉพาะรายตามที่ได้ยื่นคำร้องนั้น ๆ ไม่มีผลถึงคู่ความรายอื่น สิทธิในการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เฉพาะของ จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต เป็นการอนุญาตให้เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ จะถือสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์มาพร้อมกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย หาได้ไม่

พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 1 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายสนิท วีรวรรณ จำเลย - นางเพ็ญพรรณ จันทรสีมาวรรณ กับพวก

ชื่อองค์คณะ จารุณี ตันตยาคม สมปอง เสนเนียม ผล อนุวัตรนิติการ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดมีนบุรี - นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ศาลอุทธรณ์ - นายกนก พรรณรักษา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE