ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความว่า จำเลยทั้งสองกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1127/2533 ของศาลชั้นต้น และพวกอีก 1 คนร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินก่นสร้าง แผ้วถางโดยใช้รถแทรกเตอร์ไถพรวนดินรวมเนื้อที่ 10 ไร่ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 4, 6, 9, 14, 31, 35 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และสั่งให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคแรกจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 8,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน เป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 4 เดือน 15 วัน และปรับ 6,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้างผู้แทนและบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษมาหรือไม่ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับนายก้อนยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้รถแทรกเตอร์ไถปรับพื้นดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติกระทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดตามที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษมาข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของนายตระกูลพยานโจทก์ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 392 (พ.ศ. 2512)ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 กำหนดให้ป่าภูแลนคาด้านทิศใต้ ในท้องที่ ตำบลคอนสวรรค์ตำบลช่องสามหมอ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวง ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นป่าสงวนแห่งชาติและทางราชการได้ปิดประกาศสำเนากฎกระทรวงและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนันท้องที่และที่เปิดเผยเห็นได้ง่ายในหมู่บ้านท้องที่นั้น ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 แล้ว ย่อมมีผลให้ที่ดินในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติทันที จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าไม่รู้ว่าที่ดินแปลงที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th