สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3041/2566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3041/2566

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. และทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทนฯ แทนนางสาว ซ. เจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ แต่โจทก์นำสัญญาพิพาทมาฟ้อง ทั้งในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้น โจทก์เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้าง เป็นการใช้สิทฺธิทางศาลโดยไม่สุจริต คดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาว ซ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 309,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 240,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในเบื้องต้นนั้น แสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยทำสัญญาผ่อนชำระเงินไว้ตามสัญญาที่พิพาททั้งสองฉบับนั้นเป็นการทำสัญญาผ่อนชำระเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยต้องชำระในโครงการ ฟ. ซึ่งในข้อนี้โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความอ้างว่า โจทก์เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการ ฟ. จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการ โดยโจทก์ทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการสนับสนุนเงินทุนเพื่อทำศัลยกรรมกับนางสาวเซปิงและโจทก์เป็นผู้พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยด้วยการให้จำเลยผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว โดยโจทก์มีนางสาวเซปิงเบิกความสนับสนุนว่า พยานกับโจทก์ได้มีการทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์กันไว้ อันเป็นการนำสืบพยานหลักฐานในทำนองว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนร่วมกันประกอบกิจการในโครงการ ฟ. แต่โจทก์กับนางสาวเซปิงกลับเบิกความต่อไปว่า นางสาวเซปิงได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แทนอันเป็นการกล่าวอ้างในทำนองว่า ผู้ที่เป็นคู่สัญญาในคดีนี้ คือ นางสาวเซปิงมิใช่โจทก์ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สับสนว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยจริงหรือไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นคู่สัญญาในเอกสารการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว แต่ก็ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวในฐานะใด ซึ่งในข้อนี้โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ไม่เคยเบิกความไว้ในคดีใด ๆ ว่าเป็นลูกจ้างในโครงการ ฟ. แต่โจทก์เบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 1570/2562 และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 4453/2563 ของศาลแพ่ง ในฐานะจำเลยที่ 2 โดยเบิกความไว้ในทำนองเดียวกันว่า โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยได้รับเพียงค่าจ้างจากนางสาวเซปิงเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงซึ่งเป็นเจ้าของกิจการแต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์ทำงานภายใต้การสั่งการของนางสาวเซปิงและไม่ได้รับส่วนแบ่งในกิจการของนางสาวเซปิงอีกทั้งยังปรากฏตามสำเนาคำเบิกความของนายกิตติศักดิ์ เบิกความไว้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 15066/2562 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 7593/2563 ของศาลแขวงเชียงใหม่ ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยมีนางสาวเซปิงเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของตนจริง ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ในคดีดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงและทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน แทนนางสาวเซปิงเจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ สัญญาตามฟ้องเป็นสัญญาที่นางสาวเซปิงแจ้งว่าโครงการ ฟ. จะออกให้ก่อนแล้วผ่อนชำระในภายหลัง ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของโครงการฯได้นำบันทึกสัญญาการผ่อนชำระเงินมาให้จำเลยลงชื่อก่อนผ่าตัด แต่โจทก์นำสัญญาที่พิพาทมาฟ้องทั้งที่ในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้นโจทก์ได้เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินของโครงการดังกล่าวอันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ซึ่งถือว่าคดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยไม่ได้ทำสัญญาผ่อนชำระเงินที่พิพาทกับโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า กรณีไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยถึงสถานะของโจทก์ในคดีนี้ เพราะเป็นเหตุนอกเหนือไปจากประเด็นแห่งคดี จึงไม่ถูกต้อง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงในการทำสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน จึงเป็นการลงชื่อในฐานะตัวแทนของนางสาวเซปิงเท่านั้น แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาวเซปิงซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)40/2566

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย บ. จำเลย - นาง จ.

ชื่อองค์คณะ วิทยา พรหมประสิทธิ์ กษิดิศ มงคลศิริภัทรา วิชัย ตัญศิริ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดพิษณุโลก - นายอำนาจ เพ็งมาก ศาลอุทธรณ์ภาค 6 - นายเกรียงศักดิ์ ดำรงศักดิ์ศิริ

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th