ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 318 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (เดิม), 318 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 10 ปี รวมเป็นจำคุก 12 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2530 ขณะเกิดเหตุอายุ 16 ปีเศษ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของนาย ช. ผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร และร่วมกันฉุดผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปข่มขืนกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล บ. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า บิดามารดาผู้เสียหายที่ 1 ฝากผู้เสียหายที่ 2 ให้เป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เสียหายที่ 1 คืนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 เห็นนางสาว พ. และนางสาว ก. ส่งเสียงเอะอะโวยวายบอกว่าโดนฉุดแต่หนีมาได้ แล้วช่วยกันตามหาผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์มีร้อยตำรวจเอกหญิง ศ. พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า พยานสอบคำให้การผู้เสียหายที่ 1 นางสาว พ. นางสาว ก. และนางสาว ด. ได้ความว่าทั้งสี่คนขับรถจักรยานยนต์ไปที่ปากซอยวัดหนองใหญ่เพื่อโทรศัพท์ ระหว่างนั้นมีคนร้ายสี่คนขับรถจักรยานยนต์มาสองคัน คันแรกนาย อ. เป็นคนขับ นาย ป. นั่งซ้อนท้าย คันที่สองคนขับไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่คนที่นั่งซ้อนท้ายคือจำเลย ผู้เสียหายที่ 1 ถูกคนร้ายฉุดกระชากขึ้นรถจักรยานยนต์ที่นาย อ. ขับ มีนาย ป. นั่งซ้อนท้ายไปที่ป่าข้างทาง จากนั้นนาย ป. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราต่อ และนาย ป. เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้ง ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ยืนยันภาพคนร้ายสามคนคือนาย ป. นาย อ. และจำเลย นอกจากนี้โจทก์มีพันตำรวจโท ส. พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายที่ 1 มาให้การเพิ่มเติมชี้ภาพถ่ายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย เห็นว่า แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 1 นางสาว ก. นางสาว พ. และนางสาว ด. เต็มมาเบิกความเป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของบุคคลดังกล่าว โดยผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันถึงตัวคนร้ายและจำเลยที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานดังกล่าวมาเบิกความในชั้นพิจารณาเนื่องจากไม่ทราบที่อยู่ของพยาน โดยโจทก์ใช้เวลาติดตามพยานเป็นเวลาถึง 5 เดือนเศษ แล้ว นับว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ไม่สามารถนำพยานซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนี้ด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และเมื่อจำเลยหลบหนีไปนานจนติดตามพยานได้ยาก กรณีเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2726/2559 ของศาลชั้นต้น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5 ซึ่งผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องข้างต้นว่า ผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยและทำงานกับผู้เสียหายที่ 2 คืนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 นางสาว พ. นางสาว ด. และนางสาว ก. ไปปากซอย เห็นกลุ่มคนร้ายสี่คนเดินเข้าไปฉุดกระชากนางสาว พ. และนางสาว ด. เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ลงจากรถจักรยานยนต์ คนร้ายเดินเข้ามา นางสาว ก. วิ่งหนีไป ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ถูกนาย ป. ลากไปที่รถจักรยานยนต์ซึ่งมีนาย อ. เป็นคนขับ นาย ป. บังคับให้ผู้เสียหายที่ 1 นั่งตรงกลางแล้วนั่งประกบท้าย นาย อ. ขับรถจักรยานยนต์พาไปบริเวณอ่างเก็บน้ำมาบประชัน โดยมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์อีกคันตามมา ระหว่างทางนาย ป. ถอดเสื้อและกางเกงผู้เสียหายที่ 1 เมื่อถึงป่านาย อ. จอดรถจักรยานยนต์และถอดหมวกนิรภัยออก นาย ป. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แล้วนาย อ. และคนร้ายอีกสองคนเข้ามาข่มขืนกระทำชำเรา โดยนาย อ. ชักอาวุธปืนสั้นโชว์ ผู้เสียหายที่ 1 กลัวจึงไม่ได้ต่อสู้ขัดขืน จากนั้นนาย อ. และนาย ป. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่ห้องพัก หลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 บอกเพื่อนและผู้เสียหายที่ 2 ว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนาย อ. กับพวก เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและส่งผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล บ. ผู้เสียหายที่ 1 จำคนร้ายสามคนที่ข่มขืนกระทำชำเราได้ ผู้เสียหายที่ 1 ให้การครั้งแรกว่าจำหน้าคนร้ายได้ทั้งหมด และให้การเพิ่มเติมครั้งที่สองว่ามีบุคคลใดข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยได้ชี้ยืนยันภาพถ่ายคนร้ายและนางสาว พ. กับนางสาว ด. เบิกความยืนยันในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องว่า นางสาว ก. ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งนางสาว พ. และนางสาว ด. ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วไปรับผู้เสียหายที่ 1 ระหว่างนั้นมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์สองคัน คนร้ายสองคนเดินเข้ามาฉุดกระชากนางสาว พ. และนางสาว ด. ให้ออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ คนร้ายตบนางสาว พ. และนางสาว ด. ที่บริเวณศีรษะ นางสาว ก. ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาโดยมีผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้าย คนร้ายเข้าไปหา นางสาว ก. และผู้เสียหายที่ 1 วิ่งหนีแต่ผู้เสียหายที่ 1 กลุ่มคนร้ายพาตัวไปได้ นางสาว พ. ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาว ก. จำคนร้ายได้ ภาพแรกคือนาย ป. ซึ่งเป็นคนตบนางสาว พ. ภาพที่ 2 จำไม่ได้ว่าคนร้ายตามภาพทำอะไรกับนางสาว พ. หรือไม่ ส่วนภาพที่ 3 เป็นคนร้ายที่ฉุดกระชากนางสาว พ. ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาว ก. แม้คำเบิกความดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุถึง 1 ปีเศษ แต่ก็ยังสอดคล้องกับพยานโจทก์ข้างต้น โดยผู้เสียหายที่ 1 ได้ให้การชั้นสอบสวนบอกเล่าเหตุการณ์ รายละเอียดและขั้นตอนการกระทำผิดของจำเลยกับพวกใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุต่อหน้าพนักงานอัยการและนักสังคมสงเคราะห์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยยืนยันถึงตัวคนร้ายและจำเลยที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เบิกความในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องยืนยันถึงเหตุที่จำจำเลยได้เนื่องจากมีแสงสว่างไฟฟ้าตลอดเส้นทาง เห็นจำเลยตั้งแต่แรกที่มีการฉุดกระชากผู้เสียหายที่ 1 จนข่มขืนกระทำชำเรา และหลังเกิดเหตุได้ชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องไปตามความจริง ไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยได้ แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะไม่ได้ให้การในชั้นสอบสวนครั้งแรกว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราไว้ แต่ก็ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไม่กล้าบอกความจริงเนื่องจากมีความอับอาย เมื่อขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ให้การชั้นสอบสวนมีอายุเพียง 16 ปี แสดงให้เห็นถึงความคิดตามประสาเด็กที่ยังอ่อนวัยของผู้เสียหายที่ 1 หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเรื่องที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียงมาให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนี้ได้ นอกจากนี้แม้คำให้การชั้นสอบสวนและการเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องจะแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยร่วมกันเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ว่า เป็นคนที่สองหรือคนที่สามก็ตาม ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกันเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อยู่ด้วยเช่นกัน หาได้ทำให้คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 เป็นพิรุธถึงกับรับฟังไม่ได้แต่อย่างใดไม่ เมื่อผลการตรวจชันสูตรของแพทย์ ได้ความว่า ผู้เสียหายที่ 1 บาดเจ็บมีบาดแผลถลอกตกสะเก็ดบริเวณเข่าซ้ายยาว 1 เซนติเมตร เยื่อพรหมจารีฉีกขาดเก่า ตรวจพบตัวอสุจิ สารที่เป็นส่วนประกอบของน้ำกามเพศชาย แพทย์ให้ความเห็นตรวจพบหลักฐานว่าผ่านการร่วมประเวณี เชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ถูกจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจริง พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ยังเป็นผู้เยาว์ไม่ได้บรรลุนิติภาวะ และพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแล การที่จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำอันมีเจตนาล่วงล้ำอำนาจผู้ปกครองหรือผู้ดูแลของผู้เสียหายที่ 2 แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมมีความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.972/2565

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th