ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารโรงงานห้องเย็น โรงน้ำแข็งและบ้านพัก โดยแบ่งงวดงานและชำระราคาเป็น 12 งวด โจทก์ก่อสร้างและส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยชำระค่าก่อสร้างให้โจทก์ 11 งวดและยังมิได้คืนเงินประกันความเสียหายที่หักไว้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่ค้างและคืนเงินประกันให้โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ก่อสร้างงานงวดที่ 12 ยังไม่แล้วเสร็จ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่ค้าง พร้อมทั้งคืนเงินที่หักไว้เป็นประกันความเสียหายให้โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญาส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าปริมาณงานในงวดที่ 12 ยังมีงานที่หลงเหลือมาจากงวดอื่น ๆ รวมทั้งงานเก็บกวาด ทำความสะอาดและบริเวณก่อสร้าง โจทก์จึงยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จครบถ้วนตามสัญญานั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จำเลยเพิ่มมาหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยมีสิทธิยึดเงินประกันที่หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวดเพราะตามสัญญาโจทก์จะต้องส่งงานงวดสุดท้ายและโจทก์ได้จัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากก่อสร้างอาคาร ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่จำเลยได้รับมอบงานแล้วแก่จำเลย ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันให้โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้ายครบถ้วนแล้ว คงมีปัญหาเฉพาะที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยังไม่ได้จัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายแก่จำเลยเห็นว่า นับแต่โจทก์ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ถึงวันฟ้องคดีนี้ เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วไม่ปรากฏว่าความเสียหายใด ๆ หลังจากมีการส่งมอบงาน ดังนั้น ความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำธนาคารมาค้ำประกันความเสียหายจึงหมดไปจำเลยจึงไม่อาจยกเป็นเหตุไม่ยอมคืนเงินประกันความเสียหายให้แก่โจทก์ได้ พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา ADMIN









