คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2563
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 277 วรรคสาม (เดิม) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคสอง, 215, 225 ประมวลกฎหมายอาญา ม. 277 วรรคสอง (เดิม)
แม้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ด้วยการสอดใส่อวัยวะเพศของตนเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 2 แต่ได้ความว่าจำเลยนำอวัยวะเพศของตนใส่เข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของจำเลยโดยการใช้อวัยวะเพศของตนล่วงลํ้าช่องปากของผู้เสียหายที่ 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 279 วรรคแรก (เดิม), 279 วรรคแรก (ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุก 16 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 22 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ผู้เสียหายที่ 2 เป็นบุตรของผู้เสียหายที่ 1 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 อายุ 10 ปีเศษ จำเลยและบุตรอีก 2 คน ของจำเลยกับนาง ร. พักอาศัยอยู่ที่บ้าน ที่เกิดเหตุ ช่วงเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ไปนอนค้างที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยนอนในห้องนอนเดียวกับนาย พ. นาง จ. นอนกับบุตรชายและบุตรสาวของจำเลย ส่วนจำเลยกับนาง ร. นอนอีกห้องหนึ่ง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในส่วนนี้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายที่ 2 เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่ยืนยันเหตุการณ์ขณะจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 แต่ผู้เสียหายที่ 2 สามารถเบิกความถึงเหตุการณ์ที่ถูกจำเลยกระทำชำเราได้เป็นขั้นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาปราศจากการปรุงแต่งตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสา หากผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้ประสบเหตุด้วยตนเองก็ยากที่จะเบิกความได้เช่นนั้น เรื่องที่ผู้เสียหายที่ 2 ถูกกระทำเป็นเรื่องเสียหายในทางเพศ ไม่มีเหตุที่ผู้เสียหายที่ 2 จะมาเบิกความให้ตนเองและครอบครัวต้องได้รับความเสื่อมเสีย ประกอบกับได้ความว่าจำเลยเป็นญาติของผู้เสียหายทั้งสอง โดยจำเลยเป็นลุงเขยของผู้เสียหายที่ 2 และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายที่ 2 จะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย อีกทั้งจุดเริ่มต้นการดำเนินคดีก็มาจากการที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้สอบถามจากผู้เสียหายที่ 2 เอง เนื่องจากพบเห็นความผิดปกติ ผู้เสียหายที่ 2 จึงยอมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุที่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดฟังในวันเกิดเหตุก็เนื่องมาจากความอ่อนเยาว์ทางความคิดของผู้เสียหายที่ 2 ที่ยังไม่ประสีประสากับเรื่องราวและความหมายของการกระทำอนาจารหรือกระทำชำเราและกลัวถูกจำเลยทำร้าย ในข้อนี้ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายที่ 2 แจ้งเรื่องดังกล่าวแก่ตนจริง อันเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย ดังนั้น คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 มีนํ้าหนักสนับสนุนให้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 มีนํ้าหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น นอกจากนี้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ที่เบิกความในชั้นพิจารณาเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน และคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 สำหรับที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่นั้น ในข้อนี้จำเลยก็มิได้นำสืบว่าวันเกิดเหตุครั้งแรกจำเลยมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุ คงมีแต่จำเลยและนาง ร. ภริยาของจำเลยมาเบิกความทำนองเดียวกันถึงกิจวัตรประจำวันของจำเลยและบุคคลในครอบครัว แต่ก็ไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุนคำเบิกความดังกล่าว ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยได้ไห้การปฏิเสธลอย ๆ ไว้โดยไม่มีรายละเอียดเหตุแห่งการปฏิเสธเหมือนเช่นในชั้นพิจารณา ต่างจากผู้เสียหายทั้งสองที่ยืนยันมาโดยตลอดตั้งแต่ในชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณาว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์จึงมีนํ้าหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำล่วงเกินในทางเพศตามที่ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความจริง แต่ส่วนที่ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความยืนยันว่าจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 2 นั้น ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ในวันที่ 28 มิถุนายน 2560 ตรวจไม่พบบาดแผลบริเวณร่างกายและบริเวณอวัยวะเพศ อวัยวะสืบพันธุ์ภายในปกติ ไม่พบตกขาวผิดปกติ ตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบตัวอสุจิและส่วนประกอบของนํ้าอสุจิจากสิ่งส่งตรวจในช่องคลอด การที่ตรวจไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณี ไม่พบบาดแผลภายนอกอวัยวะเพศ ไม่พบรอยฉีกขาด ทั้ง ๆ ที่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 เป็นเด็กอายุเพียง 10 ปีเศษ หากมีการสอดใส่อวัยวะเพศจริง อย่างน้อยน่าจะปรากฏบาดแผลให้เห็นมากกว่านี้ ทั้งได้ความว่าแพทย์ผู้ตรวจร่างกายสอบถามผู้เสียหายที่ 2 ให้ประวัติว่า จำเลยไม่ได้สอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอด มีเพียงจับนมและเลียบริเวณอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 2 พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ด้วยการสอดใส่อวัยวะเพศของตนเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 2 จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งตรงกับที่ผู้เสียหายที่ 2 เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยใส่เข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของจำเลยโดยการใช้อวัยวะเพศของจำเลยล่วงลํ้าช่องปากของผู้เสียหายที่ 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอื่นของจำเลยอีกเพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ออกใช้บังคับ มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในมาตรา 279 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม), 279 วรรคแรก (เดิม) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.481/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง จำเลย - นาย อ.
ชื่อองค์คณะ พงษ์ศักดิ์ กิติสมเกียรติ ธราธร ศิลปโอสถ ชาติชาย กริชชาญชัย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดพัทลุง - นายอุเทน ยืนยัน ศาลอุทธรณ์ภาค 9 - นายปกรณ์ แต้ประจิตร