ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า เดิมห้องพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดาโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากมารดาโจทก์ ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่ามารดาโจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมห้องพิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์ เมื่อสิ้นกำหนดสัญญาเช่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากห้องพิพาท จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเช่าหรือทำสัญญาเช่า สัญญาเช่าเป็นสัญญาปลอม ที่ดินและห้องพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นไม่ใช่โจทก์ ห้องพิพาทจำเลยปลูกขึ้นเองโดยสัมภาระของจำเลยแทนห้องพิพาทเดิมซึ่งผุพังไปแล้ว ห้องพิพาทจึงเป็นของจำเลย โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่า ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องขาดอายุความละเมิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าห้องพิพาทเป็นของโจทก์รับโอนมาจากมารดาซึ่งจำเลยเช่าห้องพิพาทอยู่ก่อน การเช่าตกทอดมายังโจทก์เท่ากับโจทก์เป็นคู่สัญญาเมื่อครบสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้และวินิจฉัยต่อไปว่า คดีนี้ได้มีการชี้สองสถาน แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเรื่องอายุความละเมิดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความละเมิด แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมาก็เป็นการนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









