คำสั่งคำร้องที่ คร.อท. 317/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 221 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ม. 44, 46
ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาตามมาตรา 46 พร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอฎีกามาด้วย จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ที่โจทก์ยื่นมาพร้อมกับฎีกานั้น ก็ไม่อาจแปลได้ว่าเป็นคำร้องขอฎีกาตามที่บัญญัติไว้ ต้องถือว่าเป็นการฎีกาโดยไม่มีคำร้องขอฎีกาต่อศาลฎีกามาด้วย เป็นการไม่ชอบ
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 พร้อมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2566
ศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาตามมาตรา 46 พร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอฎีกามาด้วย จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ที่โจทก์ยื่นมาพร้อมกับฎีกานั้น ก็ไม่อาจแปลได้ว่าเป็นคำร้องขอฎีกาตามที่บัญญัติไว้ ต้องถือว่าเป็นการฎีกาโดยไม่มีคำร้องขอฎีกาต่อศาลฎีกามาด้วย เป็นการไม่ชอบ
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง และไม่รับฎีกาของโจทก์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา คร.อท.310/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา