ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งผู้ทำแผน ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน โดยมีนายปิยสวัสดิ์ นายพรชัย นายไกรสร นายศิริ และนายชาญศิลป์ เป็นผู้บริหารแผน และวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผน ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้รายที่ 10381 ในมูลหนี้ค่าซื้อสินค้าและจัดจ้างบริการตามสัญญาจ้างเหมาแรงงาน รวม 13,048,661.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 12,831,250.43 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จสิ้นจากลูกหนี้ ส่วนลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้านที่ 2 และขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 สอบสวนแล้วมีความเห็นว่าลูกหนี้ไม่อาจใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ได้ เนื่องจากสิทธิไล่เบี้ยเกิดขึ้นหลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้ 3,516,578.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,413,159.77 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จสิ้นจากลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/32 วรรคสอง (3) ส่วนที่เกินมาให้ยกเสีย
ผู้บริหารแผนยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้ 2,323,845.95 บาท ส่วนที่ขอเกินมานอกจากนี้ขอให้มีคำสั่งยกเสีย
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้บริหารแผนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้บริหารแผนฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ลูกหนี้ทำสัญญาจ้างกับผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 2 จัดหาพนักงานตำแหน่ง Mechanic Helper และวันที่ 3 กรกฎาคม 2562 ลูกหนี้ทำสัญญาจ้างกับผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 2 จัดหาพนักงานตำแหน่ง Shuttle Bus Driver วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ลูกหนี้บอกเลิกสัญญาจ้าง กับผู้คัดค้านที่ 2 วันที่ 14 กันยายน 2563 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งผู้ทำแผน ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้ลูกหนี้โดยผู้ทำแผนในฐานะนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 และผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะนายจ้างตามมาตรา 5 จ่ายเงินให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างดังกล่าว จากนั้นวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ผู้ทำแผนนำเงิน 1,031,262.82 บาท ไปวางต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อชำระให้แก่ลูกจ้างของผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 16 คน และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ทำแผนนำเงิน 58,050 บาท ไปวางต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อชำระให้แก่ลูกจ้างของผู้คัดค้านที่ 2 อีก 1 คน ระหว่างนั้นผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในมูลหนี้ค่าจัดจ้างบริการตามสัญญาจ้างเหมาแรงงานพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ทำแผนมีหนังสือลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 และวันที่ 30 เมษายน 2564 ขอใช้สิทธินำเงินค่าจ้างและค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างของผู้คัดค้านที่ 2 ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับมูลหนี้ที่ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามหนังสือขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้และขอให้ออกหลักฐานการชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2564 และวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนและแผนที่มีการแก้ไขตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ตามลำดับ ส่วนคำขอรับชำระหนี้ของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ผู้ทำแผนโต้แย้งและขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้นั้น ผู้คัดค้านที่ 1 สอบสวนแล้วมีความเห็นว่าลูกหนี้ได้สิทธิไล่เบี้ยค่าจ้างและค่าชดเชยมาภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ จึงไม่อาจใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับมูลหนี้ที่ผู้คัดค้านที่ 2 ขอรับชำระหนี้ได้ และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้ 3,516,578.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,413,159.77 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จสิ้นจากลูกหนี้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้บริหารแผนว่า ผู้บริหารแผนมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะเป็นวิธีสบัญญัติ แม้จะมีบทบัญญัติกล่าวถึงการหักกลบลบหนี้ไว้ก็เป็นกรณีที่ต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหักกลบลบหนี้ มาตรา 341 ถึงมาตรา 348 ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้เฉพาะครั้งเฉพาะคราวประกอบด้วย และหากเป็นการแสดงเจตนาที่จะต้องมีการหักกลบลบหนี้ต่อเนื่องหรือชั่วเวลาตามที่กำหนดก็ต้องนำหลักเกณฑ์เฉพาะในเรื่องสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามมาตรา 856 ถึง มาตรา 860 มาพิจารณาอีกด้วย เมื่อการหักกลบลบหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว เบื้องต้นจะต้องมีบุคคลสองฝ่ายที่ต่างก็เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกันในมูลหนี้สองราย อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน ดังนั้น แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 จะบัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการเป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เจ้าหนี้นั้นอาจใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ได้ เว้นแต่เจ้าหนี้ได้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ" ซึ่งแม้จะมิได้บัญญัติถึงสิทธิของลูกหนี้ในการขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ไว้ด้วยก็มิได้หมายความว่า ลูกหนี้จะไม่มีสิทธิเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อลูกหนี้จะใช้สิทธิขอหักกลบลบหนี้กับเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ลูกหนี้ก็ชอบที่จะกระทำได้โดยดำเนินการตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว ส่วนกรณีที่เจ้าหนี้เป็นฝ่ายขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ นอกจากจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ยังต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพิ่มเติมตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 อีกด้วย เพราะกฎหมายต้องการให้เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการใช้สิทธิแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้กับลูกหนี้ เพื่อให้เจ้าหนี้รายนั้น ๆ สามารถระงับหรือลดหนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอหรือเข้าสู่กระบวนการตามแผนฟื้นฟูกิจการ คำว่า "เจ้าหนี้" ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว จึงหมายถึง เจ้าหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามมาตรา 90/27 วรรคหนึ่ง ส่วนลูกหนี้ย่อมมิใช่เจ้าหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามความหมายของมาตรา 90/27 บทบัญญัติมาตรา 90/33 จึงไม่นำมาใช้บังคับกับกรณีที่ลูกหนี้โดยผู้บริหารแผนจะขอหักกลบลบหนี้กับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้เป็นเจ้าหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ แต่ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ที่บัญญัติว่า "ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้ บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ หากเป็นการขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้ แต่เจตนาเช่นนี้ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต" มาใช้บังคับแก่กรณีที่ลูกหนี้จะขอหักกลบลบหนี้นี้ เพียงแต่ในกรณีที่ลูกหนี้จะใช้สิทธิขอหักกลบลบหนี้กับเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการนั้น ย่อมจำเป็นอยู่เองที่อย่างช้าลูกหนี้ควรใช้สิทธิเสียในขณะที่โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เว้นแต่ หนี้ที่จะขอหักกลบลบหนี้นั้นจะเกิดขึ้นหลังจากเวลาที่จะโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้แล้ว โดยคำนึงถึงการบริหารกิจการลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (9) ด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ผู้คัดค้านที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างลูกจ้าง 16 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2563 ระหว่างที่ผู้คัดค้านที่ 2 ให้ลูกจ้างหยุดงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันเลิกจ้าง ผู้คัดค้านที่ 2 มิได้จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง ในระหว่างสัญญาจ้าง และเลิกจ้างโดยมิได้จ่ายค่าชดเชย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้กับลูกจ้างหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานตามข้อตกลงในข้อ 6.7 ของข้อกำหนดขอบเขตของงานและเงื่อนไขการเสนอราคาแนบท้ายสัญญาจ้าง ระหว่างลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างกับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายเป็นเหตุให้พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้ลูกหนี้ซึ่งถือว่าเป็นนายจ้างด้วยต้องร่วมกันกับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างของลูกจ้างจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยการเลิกจ้างให้แก่ลูกจ้างเหล่านั้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 และมาตรา 124 วรรคสาม เพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง ค่าจ้างและค่าชดเชยที่ลูกหนี้ต้องจ่ายตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นผลมาจากการที่ผู้คัดค้านที่ 2 ผิดสัญญาจ้างที่ทำไว้กับลูกหนี้ เมื่อลูกหนี้ต้องชำระค่าจ้างและค่าชดเชยตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานให้แก่ลูกจ้าง 16 คน เป็นเงิน 1,031,263.82 บาท และจ่ายค่าจ้างกับค่าชดเชยให้ลูกจ้างอีก 1 คน ที่ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน เป็นเงิน 58,050 บาท รวม 1,089,313.82 บาท โดยลูกหนี้และผู้คัดค้านที่ 2 มิได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแรงงานเพื่อให้เพิกถอนคำสั่ง คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสอง ซึ่งผู้ทำแผนก็ได้นำเงินค่าจ้างและค่าชดเชยทั้งสองจำนวนดังกล่าววางต่อพนักงานตรวจแรงงานตามบันทึกถ้อยคำลงวันที่ 29 ธันวาคม 2563 และหนังสือขอถอนคำร้องลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อันเป็นการกระทำในนามของลูกหนี้ ตามอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้และเป็นการดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/25 ประกอบมาตรา 90/12 (9) และคำสั่งอันถึงที่สุดของพนักงานตรวจแรงงานที่ให้ลูกหนี้ร่วมกันหรือแทนกันกับผู้คัดค้านที่ 2 จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยดังกล่าวมีผลให้ลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 2 อยู่ในฐานะนายจ้างที่เป็นลูกหนี้ร่วมของลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 สำหรับค่าจ้างและค่าชดเชยนั้น แม้มาตรา 296 จะบัญญัติว่าในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันให้รับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน และมีสิทธิเรียกร้องระหว่างกันได้ด้วยการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 229 (3) แต่บทบัญญัติมาตรา 296 ก็บัญญัติด้วยว่า เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งมีความหมายว่า ลูกหนี้ในฐานะผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ได้มอบหมายให้ผู้คัดค้านที่ 2 จัดหาคนมาทำงานให้ลูกหนี้ตามสัญญาที่มีต่อกันนั้น หากได้มีการตกลงกันไว้ว่า ในระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 2 นั้น ความรับผิดร่วมกันดังกล่าวในระหว่างกันเองไม่ต้องรับผิดชอบเท่ากันก็ได้ เมื่อตามเงื่อนไขการว่าจ้างบริการแนบท้ายสัญญาจ้างทั้งสองฉบับ ข้อ 9 กำหนดว่า "หากคู่สัญญาฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้ อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ใช้สิทธิเลิกสัญญามีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น" จึงถือได้ว่า ลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 2 ได้ตกลงกันกำหนดเป็นอย่างอื่นแล้ว ดังนั้น เมื่อลูกหนี้วางเงินจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยให้ลูกจ้างทั้ง 17 คนของผู้คัดค้านที่ 2 แล้วเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 และ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ตามลำดับ ลูกหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างและค่าชดเชยที่ลูกหนี้ได้ชำระไปตามคำสั่งดังกล่าวคืนจากผู้คัดค้านที่ 2 ได้ทั้งหมด แต่เนื่องจากหนี้เงินที่ลูกหนี้ชำระไปนั้น เป็นการชำระตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับว่าลูกหนี้ปฏิบัติตามคำสั่งวันใด โดยผู้คัดค้านที่ 2 มิได้ตกลงด้วยก่อนในเรื่องกำหนดวันชำระเงิน กรณีต้องถือว่า หนี้เงินจำนวนนี้เป็นหนี้เงินที่มิได้กำหนดเวลาชำระทั้งจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ หนี้เงินจำนวนนี้จึงถึงกำหนดชำระโดยพลัน ในวันที่ลูกหนี้วางเงินต่อพนักงานตรวจแรงงาน คือวันที่ 29 ธันวาคม 2563 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 วรรคหนึ่ง เมื่อลูกหนี้และผู้คัดค้านที่ 2 ต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายถึงกำหนดชำระแล้ว ผู้บริหารแผนย่อมมีสิทธิแสดงเจตนานำมูลหนี้ค่าจ้างและค่าชดเชยที่ลูกหนี้ชำระให้ลูกจ้างของผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 1,089,313.82 บาท มาหักกลบลบหนี้กับมูลหนี้ค่าจ้างบริการที่ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นขอรับชำระหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 วรรคหนึ่ง และมาตรา 342 แม้ต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 จะมีหนังสือแจ้งปฏิเสธการแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ของลูกหนี้ก็หามีผลให้ไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ไม่ เพราะกรณีที่จะถือว่าขัดกับเจตนาของผู้คัดค้านที่ 2 ตามความหมายแห่งบทบัญญัติมาตรา 341 วรรคสอง นั้น จะต้องเป็นเจตนาที่ได้แสดงไว้ต่อกันตั้งแต่ขณะทำสัญญาจ้างบริการแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้บริหารแผนฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ผู้บริหารแผนมีสิทธินำเงินค่าจ้างและค่าชดเชย 1,089,313.82 บาท มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ของผู้คัดค้านที่ 2 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ลฟ.18/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








