คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3209/2560
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ม. 19
คดีเดิมจำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และคดีนี้จำเลยก็ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างการรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่นที่ต้องห้ามมิให้จำเลยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรณีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 เมื่อคดีนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 19 ให้แล้วเสร็จก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91, 97, 100/1 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด แต่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองมีคำวินิจฉัยที่ 359/2556 เอกสารท้ายคำร้องขอฝากขัง ครั้งที่ 1 ว่าจำเลยอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีอาญาอื่นที่มีโทษจำคุก จึงเป็นกรณีต้องตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 และไม่สามารถนำมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาบังคับใช้กับจำเลยได้ จึงให้ส่งตัวจำเลยคืนพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ความปรากฏตามสำเนาคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองที่ 359/2556 แนบท้ายคำร้องขอผัดฟ้องว่า จำเลยเคยถูกจับกุมในความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองได้มีคำวินิจฉัยให้บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูที่กำหนด คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจึงมีคำสั่งที่ 178/2551 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2551 ว่าผลการฟื้นฟูไม่เป็นที่พอใจและให้ส่งตัวจำเลยคืนพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแกลงเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองได้ดำเนินการฟื้นฟูตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามขั้นตอนของกฎหมายครบถ้วนแล้วและมีความเห็นตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 33 แล้วนั้น จึงเป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในการกระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ในคดีก่อน ส่วนคดีนี้ คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองมีคำสั่งที่ 359/2556 ให้ส่งตัวจำเลยให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีเนื่องจากจำเลยอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีอาญาอื่น ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก ได้แก่ความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ในคดีก่อนนั้นเอง ซึ่งแม้ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนดำเนินการในคดีก่อนอย่างไร แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดระยองวินิจฉัยว่าจำเลยอยู่ในระหว่างการถูกดำเนินคดีอาญาอื่นที่มีโทษจำคุกซึ่งเป็นคดีเดิม แต่คดีเดิมจำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และคดีนี้จำเลยก็ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างการรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่นที่ต้องห้ามมิให้จำเลยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรณีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อคดีนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 19 ให้แล้วเสร็จก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2573/2559
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดระยอง จำเลย - นาย จ.
ชื่อองค์คณะ สมศักดิ์ จันทรา สรรทัศน์ เอี่ยมวรชัย ธีระ เบญจรัศมีโรจน์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดระยอง - นายกิตติภัฏ โหรชัยยะ ศาลอุทธรณ์ - นายชูเกียรติ ดิลกแพทย์