ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2518 จำเลยได้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 362,729.50 บาท ได้ลงชื่อในหนังสือยืมเงินไว้เพื่อเป็นหลักฐานตกลงชำระเงินคืนหรือนำข้าวมามอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามที่โจทก์ต้องการทันที หลังจากยืมเงินไปแล้วจำเลยมิได้ชำระหนี้โจทก์ทวงถามแล้วก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์ประกอบกิจการค้าข้าวและจำเลยประกอบกิจการโรงสีข้าวมีธุรกิจการค้าต่อกัน จำเลยได้ยืมเงินโจทก์จำนวน 362,729.50 บาท ตามหลักฐานการกู้ยืมท้ายฟ้อง โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่า เหตุใดโจทก์จึงยอมให้จำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวโดยมิได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนและเหตุใดจึงมิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ไม่จำต้องบรรยายในฟ้องอย่างใด เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดนำสืบภายหลังได้ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม…
จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นเห็นว่าตามหนังสือยืมเงิน เอกสารหมาย จ.2 จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์วันที่ 31 กรกฎาคม 2518 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30กรกฎาคม 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา








