ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน กระเป๋าสะพาย 1 ใบ และอุปกรณ์เสพยาเสพติดให้โทษ 1 ชุด ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคหนึ่ง, 162 ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง (ที่ถูก ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน) จำคุก 3 เดือน และปรับ 20,000 บาท รวมจำคุก 4 เดือน และปรับ 22,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน 15 วัน (ที่ถูก 2 เดือน) และปรับ 11,000 บาท โทษจำคุกและโทษปรับรอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 1 เดือน 10 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 20 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน 20 วัน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่คุมความประพฤติของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า การขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้อง ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ แม้คดีนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เพิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีก่อนของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 635/2557 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเพิ่มโทษแก่จำเลย โดยแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นไฟล์ประเภท PDF/A ชื่อไฟล์ว่า "คำร้องขอแก้ไขฟ้อง นายชโยดม, pdf" มีขนาดไฟล์ไม่เกินข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ และเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 แล้วจัดส่งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์เข้ากลุ่มไลน์ที่ศาลชั้นต้นสร้างขึ้น ใช้ชื่อกลุ่ม "ฟ้องอัยการ" แทนการยื่นต้นฉบับและสำเนาต่อศาล อันเป็นแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการกับศาลชั้นต้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยโจทก์ได้จัดส่งคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 นาฬิกา แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 จะไม่ปรากฏว่ามีการจัดทำสิ่งพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องออกจากระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำเข้าสู่สำนวนคดี แต่โจทก์ก็มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องผ่านทางระบบแอปพลิเคชันไลน์ อันเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของศาลชั้นต้นในการติดต่อประสานงาน การยื่น ส่ง และรับเอกสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สอดคล้องกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 ที่ให้ศาลส่งเสริมคู่ความในการยื่น ส่ง และรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการเดินทางมาศาล และติดต่อราชการของประชาชน และเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ข้อ 3 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้ว ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเพื่อให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยเข้ามาโดยชอบตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะหลงลืมไม่ได้จัดพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเข้าสู่สำนวน และยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง อันเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากรายงานการสืบเสาะและพินิจว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และหลังจากพ้นโทษแล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์โต้เถียงในข้อนี้ จึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาก่อน และกระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจริง ดังนั้น แม้กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ก็ตาม แต่บทบัญญัตินี้มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ทุกคดีเสมอไป เนื่องจากกฎหมายใช้คำว่า "ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น…" เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้เพิ่มโทษจำเลยเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และกรณีมีเหตุต้องเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายจริง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ โดยใช้อำนาจของศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไปเสียทีเดียว อันเป็นการอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องโดยปริยายนั่นเอง จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรมแต่อย่างใด และทำให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อมาขอให้รอการลงโทษจำคุก นั้น เห็นว่า แม้โทษของจำเลยแต่ละกระทงเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ซึ่งมิใช่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง เมทแอมเฟตามีนของกลางคดีนี้มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.497 กรัม ขณะเกิดเหตุต้องด้วยบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท โดยมาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ…" แม้ในระหว่างพิจารณาได้มีการยกเลิกกฎหมายเดิมโดยให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแทนกฎหมายเดิม และความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถือเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยคดีนี้ต้องปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท โดยมาตรา 152 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา 100/1 ของกฎหมายเดิมว่า "ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตามประมวลกฎหมายนี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ…" ดังนี้ เมื่อความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มีทั้งโทษจำคุกและปรับทำนองเดียวกับมาตรา 66 วรรคสอง ของกฎหมายเดิม ศาลจึงต้องลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานนี้ทั้งจำคุกและปรับด้วย แม้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 100/2 ของกฎหมายเดิม ซึ่งเป็นคุณกว่ามาตรา 153 ของกฎหมายใหม่ได้ ก็ยังจำต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยเสมอ เพราะเป็นกฎหมายพิเศษในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อไม่ลงโทษปรับจำเลยได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ลงโทษปรับจำเลยสำหรับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.4218/2566
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









