คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2563
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33, 91 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5) พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ม. 12
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยรวมมาในข้อเดียวกันและระบุว่าจำเลยกระทำความผิดในวันเวลาและสถานที่เดียวกัน แต่ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทายผลการแข่งขันชกมวยทางโทรทัศน์ และความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ ต่างเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 ได้แยกความผิดของการพนันประเภทต่าง ๆ ไว้ตามบัญชี ก. และบัญชี ข. โดยการพนันแต่ละประเภทดังกล่าวเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อฟ้องโจทก์ระบุยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทั้งสองประเภท และจำเลยให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดทั้งในฐานจัดให้มีการเล่นการพนันทายผลการชกมวยทางโทรทัศน์ และฐานจัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ซึ่งศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบนั้น เห็นว่า เครื่องรับโทรทัศน์เป็นแต่เพียงเครื่องรับภาพการชกมวยจากสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นผู้ส่งภาพมาเท่านั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดให้ผู้เล่นการพนันดูโทรทัศน์เพื่อพนันทายผลของการแข่งขันชกมวย หาทำให้เครื่องรับโทรทัศน์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยตามความหมายแห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 โดยแท้จริงไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อปรากฏว่าตามสภาพของเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องนั้น มิใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยแล้ว เครื่องรับโทรทัศน์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันจะพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 33
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลาง และให้จำเลยจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจัดให้มีการเล่นพนันทายผลการแข่งขันชกมวยทางโทรทัศน์ จำคุก 2 เดือน และปรับ 1,000 บาท ฐานจัดให้มีการเล่นพนันไพ่รัมมี่ ปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 2 เดือน และปรับ 3,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลยใช้เงินสินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ถ้าจำเลยไม่ชำระสินบนดังกล่าว ให้จ่ายจากเงินที่ได้จากของกลาง ซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หรือจ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 3 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4 วรรคสอง, 4 ทวิ วรรคหนึ่ง, 12 (2) ความผิดฐานจัดให้มีการเล่นพนันทายผลการแข่งขันชกมวยทางโทรทัศน์ ไม่รอการลงโทษจำคุก ไม่ปรับ และยกคำขอจ่ายสินบนนำจับในความผิดฐานนี้ ไม่ริบฝาครอบ ถ้วยรองและลูกเต๋า 3 ลูก ของกลาง โดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องด้วยวาจาระบุยืนยันว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยจัดให้มีการเล่นพนันทายผลการชกมวยทางโทรทัศน์ (มวยตู้) แก่ผู้เล่น 25 คน ซึ่งเป็นการเล่นที่เสี่ยงโชคให้แก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง อันเป็นการพนันนอกจากที่กล่าวในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 และมิใช่การเล่นที่ระบุชื่อและเงื่อนไขไว้ในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 4 ทวิ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยถือผลแพ้ ชนะ หรือเสมอของนักมวยที่ชกต่อยกัน หากผลการแข่งขันตรงกับที่ทายผลไว้ฝ่ายที่ทายถูกจะได้สินพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และจัดให้มีการเล่นพนันไพ่รัมมี่ อันเป็นการพนันประเภทที่ต้องขออนุญาตตามบัญชี ข. อันดับที่ 21 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 แก่ผู้เล่น 4 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน กับขอให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาท้ายฟ้องด้วย แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยรวมมาในข้อเดียวกันและระบุว่าจำเลยกระทำความผิดในวันเวลาและสถานที่เดียวกัน แต่ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทายผลการแข่งขันชกมวยทางโทรทัศน์ และความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ ต่างเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งตามพระราชบัญญัติการพนัน ฯ มาตรา 12 ได้แยกความผิดของการพนันประเภทต่าง ๆ ไว้ตามบัญชี ก. และบัญชี ข. โดยการพนันแต่ละประเภทดังกล่าวเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อฟ้องโจทก์ระบุยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทั้งสองประเภท และจำเลยให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดทั้งในฐานจัดให้มีการเล่นการพนันทายผลการชกมวยทางโทรทัศน์ และฐานจัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ซึ่งศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกไว้นั้น เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานจับผู้เล่นการพนันได้ทั้งหมด 29 คน แต่ยึดเงินสดของกลางได้เพียง 1,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่มาก ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่อาจแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าเป็นบ่อนการพนันขนาดใหญ่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยมีอายุมากแล้วและมีโรคประจำตัว กรณีจึงมีเหตุอันควรปรานีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีและประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานจัดให้มีการเล่นพนันทายผลการแข่งขันชกมวยทางโทรทัศน์โดยไม่รอการลงโทษจำคุกไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและเป็นการป้องปรามมิให้จำเลยหวนกลับมากระทำความผิดในทำนองนี้ซ้ำอีก รวมทั้งเพื่อให้มีเจ้าพนักงานคอยแนะนำ ช่วยเหลือ ตักเตือน หรือสอดส่องดูแลให้จำเลยสามารถกลับตัวได้อย่างแท้จริง จึงเห็นสมควรคุมความประพฤติของจำเลยไว้และลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง เมื่อลงโทษปรับแล้ว จึงให้จำเลยใช้เงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับด้วย
อนึ่ง สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบนั้น เห็นว่า เครื่องรับโทรทัศน์เป็นแต่เพียงเครื่องรับภาพการชกมวยจากสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นผู้ส่งภาพมาเท่านั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดให้ผู้เล่นการพนันดูโทรทัศน์เพื่อพนันทายผลของการแข่งขันชกมวย หาทำให้เครื่องรับโทรทัศน์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติการพนันฯ โดยแท้จริงไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพกรณีของกลางตามฟ้อง แต่เมื่อปรากฏว่าตามสภาพของเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องนั้น มิใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยแล้ว เครื่องรับโทรทัศน์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางตามคำขอของโจทก์จึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยละเว้นความประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีก กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ริบเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.923/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมา จำเลย - นาย อ.
ชื่อองค์คณะ นิพนธ์ ใจสำราญ วรงค์พร จิระภาค ชูชีพ ปิณฑะสิริ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแขวงนครราชสีมา - นายฤทธิรงค์ นวลศรี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 - นายศรายุธ บุษยนาวิน