สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2563

พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พุทธศักราช 2550 ม. 18 วรรคหนึ่ง, 19 วรรคหนึ่ง

แม้คดีนี้เป็นการขอคืนสำนวนการสอบสวน แต่คำร้องของโจทก์เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงเกี่ยวเนื่องกับการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา และโจทก์ยื่นฎีกาโดยไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัยอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ

เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 92 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย กับบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 821/2560 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลชั้นต้นเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งโจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลชั้นต้นแล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 และบวกโทษจำเลยที่ 4 แต่พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่ฎีกา

หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอสำนวนการสอบสวนคืนเพื่อใช้ในการทำความเห็นเสนอต่อผู้บังคับบัญชา อัยการศาลสูง และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดียังไม่ถึงที่สุด จึงไม่อาจตรวจคืนได้ แต่อนุญาตให้คัดถ่ายสำนวนการสอบสวนโดยรับรองสำเนาเอกสารให้โจทก์ใช้แทนไปพลางก่อน

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คดีนี้เป็นการขอคืนสำนวนการสอบสวนก็ตาม แต่คำร้องของโจทก์เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด คำร้องขอคืนสำนวนการสอบสวนของโจทก์จึงเกี่ยวเนื่องกับการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยมิชักช้า และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 16 และมาตรา 19 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด" และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งแล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้" เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา และโจทก์ยื่นฎีกาโดยไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัยอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของโจทก์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.933/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดสตูล จำเลย - นาย อ. กับพวก

ชื่อองค์คณะ พิสุทธิ์ ศรีขจร ชาติชาย โฆษิตวัฒนฤกษ์ เทพ อิงคสิทธิ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสตูล - นายอรรถพร เพชรแก้ว ศาลอุทธรณ์ - นายเริงศักดิ์ วิริยะชัยวงศ์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th