ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2530 จำเลยที่ 1ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 5,741,590.50 บาทแก่โจทก์ โดยตกลงว่าหากโจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ยอมรับผิดใช้เงินตามตั๋วพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 เมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยที่ 1 ไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสี่ 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30วัน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ จำเลยทั้งสี่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพันตัวขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลาย
จำเลยทั้งสี่ไม่ยื่นคำให้การและไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตราสารที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งนั้น หมายถึงตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ แต่หนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ได้นำไปดำเนินการเสียเงินอากรและเงินเพิ่มอากรโดยชอบตามมาตรา 113,116 แล้ว ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามมาตรา 117รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ กฎหมายหาได้ห้ามนำตราสารไปดำเนินการเสียอากรในระหว่างพิจารณาคดีของศาลไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเอกสารไปเสียภาษีอากรและเงินเพิ่มอากรโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น ในข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์และไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








