ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

ผู้ร้องยื่นร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชิตและนางสมศรี นายชิตกับนางสมศรีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันมีบุตรด้วยกัน 4 คน นายชิตถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 13 เมษายน2536 ก่อนตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ผู้ร้องและนางเพลินจิต ทรัพย์มรดกมีทั้งที่ดินและเงินฝากธนาคารผู้ร้องมีเหตุขัดข้องในการจัดมรดก ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 1เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 6 คนผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุตรคนที่ 1 ผู้ตายยังมีบุตรกับนางสมศรีอีก4 คน เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2536 ผู้ตายถึงแก่ความตาย การจัดการมรดกของผู้ตายมีเหตุขัดข้อง ผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายขอให้ยกคำร้องและตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกัน

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องได้อ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นไม่ควรมีคำสั่งแต่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องและนางเพลินจิต เทพยสุวรรณแล้ว จึงเป็นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นและเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรกแล้ว ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เห็นว่าตามคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องและนางเพลินจิต เป็นการตัดมิให้ผู้คัดค้านทั้งสองรับมรดก ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่า พินัยกรรมดังกล่าวปลอมตกเป็นโมฆะ ซึ่งหากเป็นจริงดังคำคัดค้านผู้คัดค้านที่ 2 ก็มีสิทธิ ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่หากเป็นจริงดังคำร้อง ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอจัดการมรดกของผู้ตาย ดังนั้นประเด็นที่ว่า พินัยกรรมเป็นโมฆะหรือไม่จึงเป็นประเด็นสำคัญและเป็นประเด็นโดยตรง ที่ศาลชั้นต้นให้งดการสืบพยานประเด็นดังกล่าวเสียจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาปัญหานี้เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบด้วย มาตรา 246, 247 อาศัยอำนาจตามมาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243(3)(ข) ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในประเด็นที่ว่าพินัยกรรมตามสำเนาเอกสารหมาย ร.9 เป็นโมฆะหรือไม่เสียก่อน

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในประเด็นที่ว่าพินัยกรรมตามสำเนาเอกสารหมาย ร.9 เป็นโมฆะหรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th