ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวนรวม ๑,๒๕๖,๘๑๘.๑๘ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖๐๑,๔๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๒๔๘,๒๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน๒๕๓๔ และจากต้นเงินจำนวน ๓๕๓,๒๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน๒๕๓๖ จนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม๒๕๓๒ โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนประชาบำรุงตามแบบ สปช.๑๐๕/๒๙ ขนาด ๑ ชั้น ๔ห้องเรียน ๑ หลัง กำหนดแล้วเสร็จวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๓ ในราคา๑,๐๓๖,๐๐๐ บาท ตกลงจ่ายค่าจ้างเป็น ๓ งวด งวดที่ ๑ เป็นเงิน๒๕๐,๐๐๐ บาท งวดที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และงวดที่ ๓เป็นเงิน ๔๘๖,๐๐๐ บาท โดยจะเริ่มลงมือทำงานในวันที่ ๑ สิงหาคม๒๕๓๒ หากจำเลยที่ ๑ มิได้ลงมือทำงานภายในกำหนด หรือมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาหรือล่วงเลยกำหนดเวลาแล้วเสร็จไปแล้ว โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและมีอำนาจว่าจ้างผู้อื่นทำงานต่อไปให้แล้วเสร็จ โดยจำเลยที่ ๑ยอมจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าสิ่งของ ค่าคุมงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามจำนวนที่โจทก์จ่ายไปโดยสิ้นเชิง ถ้าจำเลยที่ ๑ ส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนดแต่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยที่ ๑ ยอมให้ปรับเป็นรายวันวันละ ๑,๐๓๖ บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาถึงวันที่ทำงานเสร็จบริบูรณ์ ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าเห็นว่าจำเลยที่ ๑ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญา ข้อ ๒๐ นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญา และถ้าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์ริบหลักประกันสัญญาและเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะโจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นทำงานต่อจนแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.๓ ต่อมาวันที่ ๑๙มกราคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ขอต่ออายุสัญญาจ้างออกไปมีกำหนด ๑๕๐ วันโจทก์อนุมัติเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการขยายเวลาสัญญาก่อสร้างเพราะปัญหาปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นขาดแคลน วันที่ ๑๙เมษายน ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ส่งมอบงานงวดที่ ๑ ให้แก่โจทก์คณะกรรมการตรวจรับงานของโจทก์ได้ตรวจรับงานเมื่อวันที่ ๒๓เมษายน ๒๕๓๓ และได้จ่ายค่าจ้างงวดที่ ๑ เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ขอขยายเวลาการสร้างออกไปอีก ๑๘๐ วัน โจทก์ก็อนุมัติเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างหลังจากส่งมอบงานงวดที่ ๑ แล้ว จำเลยทั้งสองมิได้เข้าดำเนินการก่อสร้างอีก โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองเร่งรัดการก่อสร้างต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่สามารถก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาได้ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างแก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๔ และริบเงินประกันตามสัญญาที่จำเลยที่ ๑ วางไว้ต่อโจทก์จำนวน ๕๑,๘๐๐ บาท เป็นค่าปรับ

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องคดีเมื่อพ้น ๒ ปี นับแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ อันเป็นวันที่โจทก์ว่าจ้างผู้รับเหมารายใหม่ให้ทำงานก่อสร้างต่อจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์บอกเลิกสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแก่จำเลยทั้งสองและขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาดังกล่าวเป็นค่าปรับและค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นแก่โจทก์จากการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อไปให้แล้วเสร็จ จึงเป็นเรื่องฟ้องให้รับผิดตามข้อสัญญาที่ผูกพันกันอยู่อีกส่วนหนึ่ง มิใช่เรื่องที่ผู้ว่าจ้างให้ประกอบการงานเรียกเอาคืนซึ่งเงินทดรองที่ตนได้จ่ายล่วงหน้าไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๑๗) ซึ่งในเรื่องดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ มิใช่มีกำหนด ๒ ปี ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๗จึงยังไม่เกิน ๑๐ ปี นับแต่วันที่โจทก์เกิดสิทธิเรียกร้องตามสัญญา คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่ ๒ มีว่าค่าว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างต่อจากจำเลยทั้งสองในราคา ๑,๔๒๙,๒๐๐ บาท สูงเกินไปหรือไม่ พยานโจทก์มีนายณรงค์ ธรรมวิชิต หัวหน้าฝ่ายการเงินและพัสดุ สำนักงานการประถม-ศึกษาจังหวัดปทุมธานี เบิกความตอบทนายความจำเลยทั้งสองถามค้านว่าในการว่าจ้างผู้อื่นมาดำเนินการก่อสร้างแทนจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการโดยวิธีพิเศษและมิได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบเพราะมีความจำเป็นต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเด็กนักเรียนจะได้ใช้เป็นอาคารเรียนและเบิกความตอบทนายความโจทก์ถามติงว่า ช่วงที่โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างนั้น ภาวะขาดแคลนปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่ราคาก็ยังสูงอยู่ และนายสุรพลประเสริฐชัยกุล หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างเบิกความว่า ช่วงที่พยานเข้าทำสัญญากับโจทก์ ราคาวัสดุก่อสร้างสูงกว่าราคาเมื่อต้นปี ๒๕๓๒ ประมาณร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ และในช่วงปี ๒๕๓๓วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นยังขาดแคลนอยู่บ้าง และเบิกความตอบทนายความจำเลยทั้งสองถามค้านว่า วัสดุก่อสร้างขาดแคลนถึงขนาดที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญาและมีมติให้ปรับราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากสัญญาที่ตกลงกันไว้ด้วยส่วนนายสุรพล ชัยสดมภ์ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เบิกความตอบทนายความโจทก์ถามค้านว่า ในช่วงปี ๒๕๓๘ วัสดุก่อสร้างไม่ขาดแคลนและมีราคาถูกลงด้วย จำเลยทั้งสองรับเหมาก่อสร้างอาคารแก่โจทก์ในราคาต่ำกว่าที่โจทก์ว่าจ้างบริษัททรีอาร์คอน จำกัด เนื่องจากขณะนั้นไม่มีผู้ใดรับเหมาและโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองช่วยรับเหมา เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองยอมรับว่าตกลงรับจ้างเหมาจากโจทก์ในราคาต่ำกว่าปกติ และขณะนั้นไม่มีผู้ใดยอมรับเหมา ประกอบกับเมื่อปี ๒๕๓๕ ในช่วงที่โจทก์ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้าง แม้ภาวะขาดแคลนวัสดุก่อสร้างจะผ่อนคลายลงบ้าง แต่ราคายังสูงอยู่ จึงไม่อาจนำราคาที่จ้างเหมาจำเลยทั้งสองมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดค่าว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างได้ ส่วนค่าว่าจ้างบริษัททรีอาร์คอน จำกัดเมื่อปี ๒๕๓๘ แม้จะมีราคาต่ำกว่าราคาที่โจทก์ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้าง ก็เนื่องจากในขณะนั้นวัสดุก่อสร้างไม่ขาดแคลนและมีราคาถูกลงด้วย ภาวะการตลาดย่อมแตกต่างกัน และคำเบิกความของนายสุรพลในเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างมิได้สับสนดังจำเลยทั้งสองอ้างจึงไม่อาจนำค่าว่าจ้างดังกล่าวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดราคาได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งการว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างมิใช่กรณีตามปกติ แต่เป็นการว่าจ้างด้วยวิธีพิเศษต้องดำเนินงานต่อจากผู้รับเหมาเดิมซึ่งละทิ้งงาน ๒ งวดเดิมไว้ และต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ย่อมต้องมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับในการตกลงว่าจ้างก็ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการโจทก์ด้วยแล้ว และเมื่อพิจารณารายละเอียดในใบเสนอราคาเกี่ยวกับบัญชีปริมาณวัสดุและราคาก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างตามเอกสารหมาย จ.๓๓ และจ.๓๔ ราคาที่โจทก์ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างจึงมิได้สูงเกินไปดังจำเลยทั้งสองอ้าง แต่เหมาะสมและเป็นธรรมแล้วข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างในราคาตามอำเภอใจเพื่อให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าปรับรายวันนับแต่วันครบกำหนดตามที่โจทก์ขยายเวลาให้จนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่าสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๓ ข้อ ๑๙ (๑) กำหนดสิทธิของโจทก์ในกรณีที่จำเลยทั้งสองส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญาว่าโจทก์มีสิทธิปรับเป็นรายวัน นอกจากนั้นในวรรคท้ายของสัญญาข้อ ๑๙ ดังกล่าวยังกำหนดสิทธิของโจทก์เอาไว้อีกว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าโจทก์ผู้ว่าจ้างเห็นว่าจำเลยทั้งสองผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ ๒๐ นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย ซึ่งตามสัญญาข้อ ๒๐ ระบุถึงเรื่องค่าเสียหายใดบ้างที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสองหากโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จากสัญญาจ้างเหมาข้อ ๑๙และข้อ ๒๐ ดังกล่าว เห็นได้ว่าหากจำเลยทั้งสองส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนดอันเป็นการผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยทั้งสองเป็นรายวันได้ตามสัญญาข้อ ๑๙ (๑) นอกจากนั้นหากโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาข้อ ๒๐ จากจำเลยทั้งสองตามสัญญาข้อ ๑๙ วรรคท้ายได้อีกด้วย ซึ่งสิทธิที่จะเรียกเอาค่าปรับรายวันกับสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายดังกล่าว แม้จะเป็นสิทธิที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองตามสัญญาจ้างเหมาข้อเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นสิทธิที่แยกต่างหากจากกัน โจทก์จะเลือกใช้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงกรณีเดียว หรือเลือกใช้สิทธิทุกกรณีก็ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาที่โจทก์ขยายให้ทั้งสองครั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานโจทก์คือนายณรงค์ธรรมวิชิต หัวหน้าฝ่ายการเงินและพัสดุของโจทก์ประกอบหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ว่า ก่อนที่โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ แจ้งสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๓ ดังนี้ย่อมถือได้ว่าการสงวนสิทธิเรียกค่าปรับดังกล่าวเป็นการที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าปรับรายวันตามสัญญาข้อ ๑๙ (๑) แล้ว เพราะปรากฏตามคำเบิกความของนายณรงค์พยานโจทก์ว่า หลังจากครบกำหนดเวลาที่โจทก์ขยายให้ทั้งสองครั้ง โจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาทันที จนกระทั่งปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ ๑๙ วรรคท้าย ต่อเนื่องกับสัญญาข้อ ๒๐ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ขัดกับสิทธิในการที่โจทก์จะปรับจำเลยทั้งสองเป็นรายวันตามสัญญาข้อ ๑๙ (๑) แต่อย่างใด เพราะโจทก์ได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งมาแต่แรกแล้วว่าจะใช้สิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๓ ได้ อย่างไรก็ดี ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่า สัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๓ มีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๓ จ้างเหมากันในราคา ๑,๐๓๖,๐๐๐ บาทตกลงจ่ายค่าจ้างเป็น ๓ งวด งวดที่ ๑ เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาทงวดที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และงวดที่ ๓ เป็นเงิน ๔๘๖,๐๐๐ บาทเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ขอต่ออายุสัญญาจ้างออกไปมีกำหนด ๑๕๐ วัน โจทก์อนุมัติ ต่อมาวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ส่งมอบงานงวดที่ ๑ ให้แก่โจทก์ คณะกรรมการตรวจรับงานของโจทก์ตรวจรับงานเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ และได้จ่ายค่าจ้างงวดที่ ๑เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๕มิถุนายน ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ขอขยายเวลาการก่อสร้างออกไปอีก๑๘๐ วัน โจทก์อนุมัติและกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๓หลังจากส่งมอบงานงวดที่ ๑ แล้ว จำเลยทั้งสามมิได้เข้าดำเนินการก่อสร้างอีก ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่สามารถก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาที่ขยายให้ได้ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๔ จากนั้นวันที่ ๒๒มิถุนายน ๒๕๓๕ โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างเข้าดำเนินการก่อสร้างที่ค้างอยู่ในราคา ๑,๔๓๙,๒๐๐ บาทดังนี้ เห็นได้ว่าหลังจากครบกำหนดเวลาที่โจทก์ขยายให้ครั้งสุดท้ายเป็นเวลาถึง ๑ ปีเศษ โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบถึงการที่จำเลยทั้งสองมิได้เข้าดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่โจทก์ขยายให้ดังกล่าวแล้ว ทั้งไม่ปรากฏเหตุผลสมควรที่แสดงให้เห็นถึงเหตุที่ต้องล่าช้าในการว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัฒน์ก่อสร้างให้เข้าดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ค้างอยู่ในงวดที่ ๒ และที่ ๓ความล่าช้าดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินงานของโจทก์เองรวมอยู่ด้วยแม้โจทก์จะมีสิทธิปรับจำเลยทั้งสองตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมายจ.๓ ข้อ ๑๙ (๑) และมีสิทธิเรียกค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการต่อจากจำเลยทั้งสองก็ตาม แต่เงินค่าปรับตามที่คู่สัญญากำหนดไว้ตามสัญญาข้อ ๑๙ (๑) และเงินค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ ๒๐ (๒)ถือได้ว่าเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อบรรเทาความเสียหายอันอาจจะมีหรือเกิดขึ้นกรณีมีการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๑ วรรคหนึ่ง และ ๓๘๓ วรรคหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงจำนวนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าค่าจ้างสำหรับงานงวดที่ ๒ และที่ ๓ ที่ค้างอยู่ตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.๓ ถึงเกือบเท่าตัวประกอบกับเหตุแห่งความล่าช้าของโจทก์ในการดำเนินงานของโจทก์เองแล้ว เห็นว่า เงินค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับนั้นมีจำนวนสูงพอสมควรแล้วไม่มีเหตุที่จะกำหนดค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ ๑๙ (๑) ให้โจทก์อีก

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์จะต้องนำเงินประกันตามสัญญาที่โจทก์รับไว้มาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หลักประกันดังกล่าวเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ซึ่งจำเลยทั้งสองนำมามอบแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา ตามข้อตกลงในสัญญาข้อ ๓โดยธนาคารจะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น หากจำเลยทั้งสองพ้นจากความรับผิดตามสัญญาแล้ว โจทก์จะต้องคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารซึ่งมอบไว้เป็นหลักประกันแก่จำเลยทั้งสอง ฉะนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญาและโจทก์ริบหลักประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันแล้ว เงินที่ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระแก่โจทก์จึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายฐานผิดสัญญา ต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์ มิใช่ว่าเมื่อโจทก์มีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ ๒๐ (๑) จึงไม่อาจนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักออกจากค่าเสียหายดังที่โจทก์ฎีกา

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th