สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2563

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคหนึ่ง, 252 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 7, 11 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (2), 73 วรรคสอง (2) พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2545 ม. 3 วรรคหนึ่ง, 4 วรรคหนึ่ง, 17 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ.2482 ม. 21 วรรคหนึ่ง, 30

โจทก์บรรยายในคำฟ้องอย่างแจ้งชัดว่า จำเลยทำไม้ปอเลียง ในบริเวณป่าบางไต เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงต้องรับฟังตามคำฟ้องว่าจำเลยทำไม้ในป่าอันเป็นการทำไม้หวงห้ามและมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป ที่จำเลยอ้างว่าเป็นการทำไม้ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่เป็นไม้หวงห้ามในชั้นฎีกา จึงขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยและเป็นการยกข้อเท็จจริงเพิ่มเติมขึ้นใหม่โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้กล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง, 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 6, 7, 11, 69, 73, 74 พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2545 มาตรา 3, 4, 17 พระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ.2482 มาตรา 4, 21, 30 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบไม้ของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (ที่ถูก 69 วรรคสอง (2)), 73 วรรคสอง (ที่ถูก 73 วรรคสอง (2)) พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2545 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง, 4 วรรคหนึ่ง, 17 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ.2482 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง, 30 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 ปี ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูป จำคุก 6 ปี ฐานมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานครอบครองสัตว์พาหนะไม่มีตั๋วรูปพรรณ จำคุก 10 วัน รวมจำคุก 12 ปี 6 เดือน 10 วัน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 3 เดือน 5 วัน ริบไม้ของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป จำคุก 4 ปี รวมโทษจำคุกฐานมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานครอบครองสัตว์พาหนะโดยไม่มีตั๋วรูปพรรณตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 8 ปี 6 เดือน 10 วัน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี 3 เดือน 5 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาในประการแรกว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 นั้น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7 เดิมถูกยกเลิก โดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2562 มาตรา 4 โดยกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย บัญญัติให้ไม้ซึ่งขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่เป็นไม้หวงห้าม ดังนั้นการกระทำของจำเลยซึ่งทำไม้ในที่ดินของนางสาวเกศินี บุตรสาวของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานทำไม้หวงห้าม และมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปตามฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายในคำฟ้องอย่างแจ้งชัดว่า จำเลยทำไม้ปอเลียง ในบริเวณป่าบางไต เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำฟ้องว่าจำเลยทำไม้ในป่าอันเป็นการทำไม้หวงห้ามและมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป ที่จำเลยอ้างว่าเป็นการทำไม้ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ไม่เป็นไม้หวงห้าม ในชั้นฎีกา จึงขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยและเป็นการยกข้อเท็จจริงเพิ่มเติมขึ้นใหม่โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้กล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง, 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในประการนี้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้น เห็นว่า ไม้ของกลางคดีนี้มีจำนวนมากถึง 20 ท่อน และ 10 ต้น ปริมาตร 14.63 ลูกบาศก์เมตร ประกอบกับจำเลยเคยต้องคดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าไม้มาก่อนด้วย ถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ไม่เข็ดหลาบ และเป็นการทำลายทรัพยากรป่าไม้อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น นับว่าเป็นโทษสถานเบาและเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว เหตุส่วนตัวที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกา ยังไม่เพียงพอที่ศาลฎีกาจะลงโทษสถานเบากว่าและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา สว.(อ)255/2562

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดไชยา จำเลย - นาย ส.

ชื่อองค์คณะ พันธุ์เลิศ บุญเลี้ยง ธงชัย เสนามนตรี ชูชีพ ปิณฑะสิริ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดไชยา - นายณเดชก์ พิทยานิยม ศาลอุทธรณ์ภาค 8 - นายวิระ สุดแก้ว

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th