สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3429/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3429/2563

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 84 วรรคสอง, 289 (4)

ผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดจะมีความผิดและถูกลงโทษฐานใช้ให้กระทำความผิดแม้ความผิดนั้นยังมิได้กระทำลงตาม ป.อ. มาตรา 84 วรรคสอง นั้น ข้อเท็จจริงต้องฟังได้ว่าผู้นั้นได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดข้อหาใด ต่อบุคคลใดอย่างชัดเจน ผู้ถูกใช้จึงจะสามารถลงมือกระทำความผิดนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 บอกจำเลยที่ 2 ให้หาคนมายิงผู้เสียหายทั้งห้า คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนให้จำเลยที่ 1 รับงานยิงคนที่ทะเลน้อย โดยไม่ปรากฏว่ายิงผู้ใด จำเลยที่ 1 ไม่อาจจะไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ใดได้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงมือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 80, 83, 84, 91, 288, 289 (4), 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3465/2559 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 คดีนี้ และนับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 898/2560 และ 1212/2560 ของศาลอาญา

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ และจำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 84 วรรคสอง ประกอบมาตรา 52 (1), 53 จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 25 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ริบของกลาง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง คนร้ายใช้อาวุธปืน ขนาด 9 มม. ยิงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุเลขที่ 135/1 หมู่ที่ 1 ตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง แล้วเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งห้าจำนวนหลายนัด เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งห้าได้รับบาดเจ็บ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยคู่ความไม่ฎีกา

คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ฆ่าผู้เสียหายทั้งห้า คงมีเพียงพยานพฤติเหตุแวดล้อม แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ว่าจำเลยที่ 2 มาสอบถามจำเลยที่ 1 ว่าจะรับงานยิงคนที่ทะเลน้อยหรือไม่นั้น จะเป็นพยานบอกเล่าและคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิด แต่โจทก์มีนายณัฐพล ญาติของจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าขณะพยานอยู่กับจำเลยที่ 1 ที่ร้านขายเสื้อผ้ามือสองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มาพูดชักชวนพยานและจำเลยที่ 1 ว่ารับงานมางานหนึ่งที่ตำบลทะเลน้อยจะไปด้วยหรือไม่ แต่พยานและจำเลยที่ 1 ปฏิเสธ ซึ่งสอดคล้องกับคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 ที่ว่าจำเลยที่ 2 มาถามจำเลยที่ 1 ว่ามีงานยิงคนที่ทะเลน้อย จะรับหรือไม่ ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ก็ให้การยอมรับว่าไปชักชวนจำเลยที่ 1 จริง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนจำเลยที่ 1 ให้รับงานยิงคนที่ทะเลน้อย แต่คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ว่าในชั้นสืบสวนหรือสอบสวนไม่ปรากฏว่างานยิงคนที่ทะเลน้อยเป็นงานจ้างยิงผู้ใด เมื่อใด อย่างไร แม้คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจะได้ความว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 ชักชวนจำเลยที่ 1 ได้บอกว่าคนที่จะยิงเป็นวัยรุ่น 4 คน เด็ก ๆ ทั้งนั้น อายุไม่เกินสามสิบ เด็ก ๆ พวกนั้นยิงลูกเขาก่อน แต่ก็ไม่ได้ระบุชื่อของผู้ที่จะถูกยิง กรณีไม่เพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าคนที่จะถูกยิงคือผู้เสียหายทั้งห้า กรณีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนจำเลยที่ 1 ให้รับงานฆ่าผู้เสียหายทั้งห้าหรือไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 2 หาคนรับงานไปยิงคนที่ทะเลน้อยนั้น เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิด ซึ่งโจทก์มีพยานประกอบ คือ เฟซบุ๊กของนายปอนด์ที่มีการแพร่ภาพสดของนายปอนด์กับพวกกำลังนั่งนับเงินที่บ้านของจำเลยที่ 3 โดยมีเสียงของจำเลยที่ 3 พูดโทรศัพท์กับนางสุพิต แทรกเข้ามาในการแพร่ภาพดังกล่าว แต่คำพูดของจำเลยที่ 3 ไม่มีข้อความตอนใดที่ยอมรับว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้างฆ่าผู้เสียหายทั้งห้า โจทก์มีเพียงคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ร่วมกระทำความผิดที่ซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้กระทำความผิด ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบ โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสืบสวนและสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 ให้หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 3 แก่จำเลยที่ 1 เพื่อใช้ติดต่อกันเอง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 โทรศัพท์ติดต่อกัน เจ้าพนักงานตำรวจได้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 มา และถอดข้อมูลจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีการบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 3 ไว้ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งห้า คำซัดทอดจึงมีน้ำหนักน้อย จำเลยที่ 3 ก็ให้การปฏิเสธตลอดมา ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้การในชั้นสืบสวนและสอบสวนเพียงว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนจำเลยที่ 1 ให้รับงานยิงคนที่ทะเลน้อย โดยไม่ปรากฏว่ายิงผู้ใด พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้เสียหายทั้งห้าหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า แม้คำซัดทอดของจำเลยที่ 2 ไม่มีรายละเอียดว่า จำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 1 ให้ฆ่าผู้ใด ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด ค่าจ้างเท่าใด และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงมือฆ่าผู้เสียหายทั้งห้าตามที่จำเลยที่ 2 ก่อให้กระทำความผิด ก็เป็นผลเพียงทำให้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องระวางโทษเสมือนเป็นตัวการ แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถือได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น เห็นว่า ผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดจะมีความผิดและถูกลงโทษฐานใช้ให้กระทำความผิดแม้ความผิดนั้นยังมิได้กระทำลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคสอง นั้น ข้อเท็จจริงต้องฟังได้ว่าผู้นั้นได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดข้อหาใด ต่อบุคคลใดอย่างชัดเจน ผู้ถูกใช้จึงจะสามารถลงมือกระทำความผิดนั้นได้ ซึ่งหากแม้ผู้ถูกใช้ไม่ได้กระทำความผิด ผู้ก่อให้กระทำความผิดจึงจะมีความผิดและถูกลงโทษฐานใช้ให้กระทำความผิดตามมาตรา 84 วรรคสอง คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 บอกจำเลยที่ 2 ให้หาคนมายิงผู้เสียหายทั้งห้า คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ชักชวนให้จำเลยที่ 1 รับงานยิงคนที่ทะเลน้อย โดยไม่ปรากฏว่ายิงผู้ใด จำเลยที่ 1 ไม่อาจจะไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ใดได้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงมือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1162/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง จำเลย - นาย ส. กับพวก

ชื่อองค์คณะ จักษ์ชัย เยพิทักษ์ เธียรดนัย ธรรมดุษฎี นันทวัน เจริญชาศรี

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดพัทลุง - นายนิยม นวลเจริญ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 - นายทวีนัส พรรณพงาพันธุ์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE