คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3440/2567
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 24, 146
การที่ผู้คัดค้านทำรายงานความเห็นและมีหมายแจ้งให้โจทก์คืนเงิน 2,500,000 บาท เข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลายเป็นการกระทำในขั้นตอนของการจัดการกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นอำนาจของผู้คัดค้านแต่เพียงผู้เดียว ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 24 ซึ่งตามรายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นเพียงการแจ้งข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายให้โจทก์ทราบ แม้ในตอนท้ายจะมีข้อความขอให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับหมายนี้ ก็มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม รายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงหามีสภาพบังคับแก่โจทก์ไม่ แม้ต่อมาหากปรากฏว่าผู้คัดค้านดำเนินคดีแก่โจทก์ ก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย เพราะศาลอาจมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ลำพังรายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านที่แจ้งไปยังโจทก์ดังกล่าว จึงยังไม่เป็นการกระทำหรือคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ตามมาตรา 146 โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเพิกถอนรายงานความเห็นของผู้คัดค้านที่ให้เรียกเงิน 2,500,000 บาท คืนจากโจทก์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งหกเด็ดขาด เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้โจทก์คืนเงิน 2,500,000 บาท เข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ในคดีล้มละลาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้โจทก์คืนเงิน 2,500,000 บาท เข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์และผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ผู้คัดค้านส่งหมายแจ้งให้โจทก์ทราบว่า ผู้คัดค้านได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในกรณีเจ้าหนี้รายที่ 20 ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้หลังจากจำเลยที่ 4 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่ และประสงค์ให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดที่มีโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านได้ทำความเห็นไว้ว่าเห็นควรไม่ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 173 แต่ให้เรียกเงิน 2,500,000 บาท อันเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 คืนจากโจทก์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย มาตรา 109 (1) ประกอบมาตรา 22 (2) ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับหมาย โจทก์ได้รับหมายแจ้งดังกล่าวแล้ว ไม่เห็นด้วยกับรายงานความเห็นของผู้คัดค้านที่ฟังว่าเงิน 2,500,000 บาท ที่โจทก์รับไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1146/2558 ของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี เป็นของจำเลยที่ 4 และให้โจทก์คืนเงินดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย จึงร้องเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และผู้คัดค้านว่า โจทก์มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเพิกถอนรายงานความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เรียกเงิน 2,500,000 บาท คืนจากโจทก์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้คัดค้านทำรายงานความเห็นและมีหมายแจ้งให้โจทก์คืนเงิน 2,500,000 บาท เข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลายเป็นการกระทำในขั้นตอนของการจัดการกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นอำนาจของผู้คัดค้านแต่เพียงผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 24 ซึ่งตามรายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นเพียงการแจ้งข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายให้โจทก์ทราบ แม้ในตอนท้ายจะมีข้อความขอให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับหมายนี้ ก็มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม รายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงหามีสภาพบังคับแก่โจทก์ไม่ แม้ต่อมาหากปรากฏว่าผู้คัดค้านดำเนินคดีแก่โจทก์ ก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย เพราะศาลอาจมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ลำพังรายงานความเห็นและหมายแจ้งของผู้คัดค้านที่แจ้งไปยังโจทก์ดังกล่าว จึงยังไม่เป็นการกระทำหรือคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเพิกถอนรายงานความเห็นของผู้คัดค้านที่ให้เรียกเงิน 2,500,000 บาท คืนจากโจทก์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้ยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์และผู้คัดค้านอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์และผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ล.9/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร อ. ผู้คัดค้าน - เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. กับพวก
ชื่อองค์คณะ วิทยา พรหมประสิทธิ์ วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ สิงห์ชัย ฤาชุตานันท์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลล้มละลายกลาง - นางสาวลลิดา จุลฤกษ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ - นายพิสุทธิ์ ศรีขจร