ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หากการขายที่ดินของโจทก์อยู่ในบังคับที่จะต้องเสียภาษีการค้าของดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ยื่นแบบแสดงรายการรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว โจทก์จึงต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่สมควรที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันแล้วว่า วันที่ 12 พฤษภาคม2532 โจทก์จดทะเบียนให้เช่าช่วงที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 21 แปลง เนื้อที่ 1544 ไร่เศษ ที่ตำบลบางพระ อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช แก่บริษัทมงคลวัฒน์ จำกัด เป็นเวลา 15 ปีบริษัทมงคลวัฒน์ จำกัด ตกลงชำระค่าเช่าแก่โจทก์ตลอดการเช่าช่วงคราวเดียวเป็นเงิน 26,000,000 บาท โดยบริษัทมงคลวัฒน์ จำกัดได้โอนสิทธิครอบครองที่ดิน หมู่บ้านท่าโพธิ์ ตำบลท่าทองอำเภอกาญจนดิษฐ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 1,500 ไร่ซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ให้แก่โจทก์ตีชำระหนี้เงินค่าเช่าช่วงดังกล่าวเป็นเงิน 25,500,000 บาท ต่อมาระหว่างวันที่28 มิถุนายน 2532 ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2532 โจทก์ได้แบ่งโอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้รับโอนไปจำนวน 56 ราย โดยได้รับค่าตอบแทนในราคาไร่ละ 17,000 บาท รวมแล้วเป็นเงินจำนวน25,500,000 บาท คงเหลือปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งในชั้นนี้เพียงว่า การที่โจทก์โอนสิทธิการครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆที่โจทก์ได้รับมาจากการตีราคาหนี้เงินค่าเช่าช่วงจากบริษัทมงคลวัฒน์ จำกัด ให้แก่ผู้รับโอนไปรวม 56 ราย โดยได้รับค่าตอบแทนมาเป็นเงินทั้งสิ้น 25,500,000 บาท นั้นเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ อันจะต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 3.5 ของรายรับจำนวน 25,500,000 บาท ดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า การครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ที่มิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะนั้น ผู้ครอบครองย่อมมีสิทธิครอบครองและยกขึ้นใช้ยันบุคคลอื่นที่มิใช่รัฐได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1626/2511 คดีระหว่าง นายทองทศ อินทรทัตโจทก์ นางสมจิตต์ วุฒิเสถียร จำเลยที่ 1 นางเล็ก จิตรานุเคราะห์จำเลยที่ 2 ดังนั้น ผู้ครอบครองจึงโอนไปซึ่งการครอบครองโดยการส่งมอบที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่ครอบครองให้แก่กันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 และสิทธิครอบครองเป็นสิทธิอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 100 ที่ใช้บังคับอยู่ในปี 2532 นั้นบัญญัติให้หมายรวมเป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วย ดังนั้นการที่โจทก์โอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ให้แก่ผู้รับโอนไปโดยมีประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินจำนวน 25,500,000 บาท ย่อมเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 77 โจทก์ยอมรับโอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ จำนวน 1,500 ไร่ จากบริษัทมงคลวัฒน์จำกัด เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2532 แทนการรับชำระด้วยเงินสดจำนวน 25,500,000 บาท แล้วโอนขายให้แก่ผู้รับโอนไปจำนวน 56 รายเมื่อระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน 2532 ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2532 ในระยะเวลาอันสั้นย่อมเห็นได้ว่า โจทก์มีเจตนารับโอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ดังกล่าวไว้เพื่อจะโอนต่อให้ผู้อื่นโดยมุ่งในค่าตอบแทนมาแต่ต้น อีกทั้งโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบการค้าดำเนินการให้เช่าช่วงที่ดินตามสัญญาเช่าช่วงที่บริษัทมงคลวัฒน์ จำกัด ทำกับโจทก์ค่าเช่าช่วงที่โจทก์ได้รับจากกิจการย่อมเป็นกำไรที่โจทก์มุ่งจะนำไปแบ่งปันแก่ผู้ถือหุ้น ฉะนั้น การที่โจทก์รับโอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใดจากบริษัทมงคลวัฒน์ จำกัด แทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดแล้วโอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ดังกล่าวนั้นไปโดยมีประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน ย่อมเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการเพื่อให้ได้เงินค่าเช่าช่วงแต่กิจการที่ทำมาแบ่งปันกำไรให้ผู้ถือหุ้นนั่นเอง นอกจากนี้โจทก์ยังได้โอนสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ บางส่วน ไปในระหว่างที่โจทก์จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้า ซื้อขายที่ดิน จัดสรรที่ดินแล้วด้วย ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์ดังได้วินิจฉัยแล้วนั้นไปในทางการค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 ซึ่งกำหนดให้ผู้ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 3.5 โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับจำนวน25,500,000 บาท ดังกล่าว ตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 78วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ กับมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าเป็นรายเดือนต่อเจ้าพนักงาน ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ซึ่งสถานการค้าตั้งอยู่ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 84, 85,และ 85 ทวิ แต่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง กล่าวคือมิได้นำรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ไปรวมคำนวณเสียภาษีการค้าด้วยเจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีโดยแก้ไขเพิ่มเติมรายการในแบบแสดงรายการการค้าเพื่อให้ถูกต้องตามความจริง แล้วแจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังโจทก์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87, 87 ทวิ(2)และ 88 กับมีอำนาจเรียกเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ของเงินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(3) และเรียกเงินเพิ่มตามมาตรา 89 ทวิตลอดจนภาษีบำรุงเทศบาลตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497มาตรา 12(1) ที่ใช้บังคับอยู่ในปี 2532 ได้ด้วย การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








