ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกและจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ในสำนวนแรกเห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ส่วนในสำนวนหลัง เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

โจทก์สำนวนแรกอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องในสำนวนแรก

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ในสำนวนแรกจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ส่วนในสำนวนหลังให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ในสำนวนแรกให้ปรับจำเลยที่ 1 อีก 10,000 บาท โทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ในสำนวนหลัง จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองและโจทก์ทั้งสองในชั้นนี้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามฟ้องหรือไม่ และสมควรจำคุกจำเลยทั้งสองโดยไม่รอการลงโทษหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสองต่างเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบกิจการระเบิดและย่อยหินในที่ดินของรัฐ จำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อหินจากโจทก์ทั้งสองในราคา 30,000,000 บาท มีข้อตกลงกันว่า จำเลยทั้งสองต้องเข้าไประเบิดและย่อยหินเองตามเอกสารหมาย จ.9 จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน6,000,000 บาท และ 24,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลังทั้ง 2 ฉบับ ครั้นเช็คดังกล่าวถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าสัญญาซื้อขายหินตามเอกสารหมาย จ.9 เป็นโมฆะ เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้นั้นได้ความว่า ใบอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองประกอบกิจการระเบิดและย่อยหินในที่ดินของรัฐตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8ออกตามความในมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อความที่อนุญาตให้โอนสิทธิได้ จึงมีลักษณะเป็นเรื่องที่ผู้รับใบอนุญาตต้องทำเองโดยเฉพาะตัว ผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 9 ดังกล่าว ซึ่งในกรณีนี้คือผู้ที่เข้าไปประกอบกิจการระเบิดและย่อยหินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีโทษทางอาญาตามมาตรา 108 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีข้อตกลงให้จำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินเองโดยจำเลยทั้งสองมิได้เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการ ซึ่งหากจำเลยทั้งสองเข้าไปดำเนินการก็ย่อมเข้าข่ายเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ทั้งกรณีนี้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งเพิกถอนในอนุญาตของโจทก์ทั้งสองเสียได้เนื่องจากตามเงื่อนไขการอนุญาตให้ระเบิดและย่อยหินระบุว่าผู้ได้รับอนุญาตต้องดำเนินการด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นดำเนินการหรือโอนสิทธิให้ผู้อื่นไม่ได้ ตามสัญญาซื้อขายหินได้กำหนดให้ผู้ซื้อจะต้องเข้าไปทำการระเบิดและย่อยหินเองภายในระยะเวลาตามใบอนุญาต ภาระภาษีต่าง ๆ ผู้ซื้อต้องรับผิดชอบ รวมทั้งค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องนอกจากนี้ หน้าที่ต่าง ๆ ของโจทก์ทั้งสองที่ทางราชการระบุไว้ในใบอนุญาตที่สำคัญ ๆ ทุกข้อก็นำมาระบุไว้ในสัญญาให้เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อปรากฏตามสัญญาซื้อขายหินเอกสารหมาย จ.9 ข้อ 2, 6, 9 และข้อ 10 ถึง 16 เป็นต้น เห็นได้ว่า สัญญาซื้อขายหินดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายและข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิตามใบอนุญาตระเบิดและย่อยหิน โดยมีเจตนาแท้จริงที่จะโอนสิทธิตามใบอนุญาตระเบิดและย่อยหินแก่กัน สัญญาซื้อขายหินตามเอกสารหมาย จ.9 จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 การออกเช็คตามฟ้องจำนวน 2 ฉบับ มิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองทั้งสองสำนวน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th