ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 4, 34 (2), 65 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 4, 7, 21
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 34 (2), 65 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 4, 7, 21 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี กับให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยประกอบอาชีพแพทย์โดยขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม จำเลยได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลและจำเลยได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการสถานพยาบาลคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยให้ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลซึ่งรวมถึงจำเลยจัดให้มีการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในสถานพยาบาลแก่ผู้ว่าจ้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ตามประกาศแพทยสภาโดยให้หญิงซึ่งตั้งครรภ์แทนมิได้เป็นญาติโดยสายเลือดของคู่สมรสที่ต้องการมีบุตรนั้น และจำเลยมิได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 7, 21 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย" โจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนประกาศแพทยสภาที่ 1/2540 และที่ 21/2544 ซึ่งออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 21 (1) ปรากฏว่าพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ มาตรา 7 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวัตถุประสงค์ของแพทยสภา ส่วนมาตรา 21 เป็นบทบัญญัติที่ให้คณะกรรมการแพทยสภามีอำนาจหน้าที่ เช่น บริหารกิจการของแพทยสภาตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา 7 ออกข้อบังคับว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของแพทยสภาหรืออยู่ในอำนาจหน้าที่ของแพทยสภาตามกฎหมายอื่น โดยข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่กฎหมายทั้งสองมาตราดังกล่าวไม่ได้บัญญัติว่าผู้ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือประกาศแพทยสภานั้นมีความผิด และไม่ได้กำหนดโทษไว้ จึงต้องถือว่าขณะจำเลยกระทำการตามโจทก์บรรยายฟ้องไว้ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 7, 21 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 7, 21 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.969/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









