คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3566/2525
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164, 165 (7), 241, 341, 816
จำเลยมอบให้โจทก์เป็นผู้หาบริษัทประกันภัยเข้าทำสัญญาประกันภัยกับจำเลย เมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาแล้วจำเลยขอให้โจทก์จัดการต่ออายุกรมธรรม์ไปอีก 1 ปี โจทก์ได้จัดการให้และได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทผู้รับประกันภัยแทนจำเลยไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้จากจำเลย ดังนี้จำเลยจะยกข้อตกลงในสัญญาประกันภัยที่ว่าเมื่อจำเลยไม่ส่งเบี้ยประกันภัยในงวดต่อไป ถือว่าสัญญาประกันภัยเป็นอันสิ้นสุดลงนั้น มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยไม่ได้ เพราะข้อตกลงดังกล่าวจำเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้ได้เฉพาะกับบริษัทผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น
การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยกรณีนี้ เป็นเรื่องตัวแทนเรียกเงินทดรองที่จ่ายไปคืนจากตัวการ มิใช่กรณีที่โจทก์เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่น หรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นรวมทั้งค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7) กรณีเป็นเรื่องไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
บริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เรือของจำเลยซึ่งเอาประกันภัยไว้ถูกปล้น โดยจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ไว้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยยังมิได้ชำระเงินเบี้ยประกันภัยที่โจทก์จ่ายทดรองไปก่อนคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงเงินจำนวนดังกล่าวไว้และมีสิทธินำมาหักกลบลบหนี้กับจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มอบให้โจทก์จัดหาผู้รับประกันภัยเข้าทำสัญญาประกันภัยกับจำเลย เมื่อสัญญาประกันภัยหมดอายุลงแล้วจำเลยมอบให้โจทก์ต่ออายุสัญญาไปอีก 1 ปี จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยเพียงหนึ่งงวดส่วนที่เหลืออีกสามงวดโจทก์ได้ชำระแทนจำเลยไปแต่จำเลยมีสิทธิได้รับเบี้ยประกันภัยคืนจากผู้รับประกันภัยบางส่วนและผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินชดเชยในกรณีเรือของจำเลยถูกปล้นเมื่อนำเงินดังกล่าวมาหักกับเงินเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ จึงขอให้จำเลยชำระหนี้จำนวนที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อสัญญาประกันภัยสิ้นอายุลงแล้วจำเลยไม่เคยมอบให้โจทก์ต่ออายุให้อีก เมื่อจำเลยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยกรมธรรม์เป็นอันยกเลิก จำเลยไม่ต้องรับผิด ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเงินค่าชดเชยกรณีเรือจำเลยถูกปล้นซึ่งผู้รับประกันภัยชำระแก่โจทก์ไว้นั้นโจทก์จะนำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์คืนเงินค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินเบี้ยประกันภัยคืนให้โจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าชดเชยดังกล่าวได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยไม่ส่งเบี้ยประกันภัยในงวดต่อไป ถือว่าสัญญาประกันภัยเป็นอันสิ้นสุดลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างนี้จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้เฉพาะกับบริษัทผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น จำเลยจะยกข้อนี้ขึ้นต่อสู้กับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันแทนจำเลยไม่ได้
ส่วนปัญหาเรื่องอายุความ กรณีของโจทก์เป็นเรื่องตัวแทนเรียกเงินทดรองที่จ่ายไปคืนจากตัวการ มิใช่กรณีที่โจทก์เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่น หรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นรวมทั้งค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(7) กรณีเป็นเรื่องไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ส่วนปัญหาเรื่องโจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกเอาเงินชดใช้ค่าเสียหายกรณีเรือถูกปล้นในระหว่างประกันภัยนั้นเป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากบริษัทผู้รับประกันภัยโดยบริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ไว้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยังมิได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงเงินจำนวนนี้ไว้ และมีสิทธินำมาหักกลบลบหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 เพราะเป็นมูลหนี้เดียวกัน เจ้าหนี้ลูกหนี้เป็นคน ๆ เดียวกัน
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัทเสถียรภาพเจนกิจ จำกัด จำเลย - บริษัทชรินธร จำกัด
ชื่อองค์คณะ ไพบูลย์ ไวกาสี ประสาท บุณยรังษี ชูเชิด รักตะบุตร์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan