ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131, 319(1-3) และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายอาญา พ.ศ. 2484 มาตรา 3 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่กรมประชาสัมพันธ์ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม กฎหมายอาญาพ.ศ. 2484 มาตรา 3 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกจำเลย 8 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 112,978 บาท แก่กรมประชาสัมพันธ์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่ข้อที่ศาลชั้นต้นวางบทลงโทษจำเลยตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131 ที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยจึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกตาม กฎหมายอาญา มาตรา 319(3) จำคุกจำเลย 3 ปี นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยต้องมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาทางพิจารณาข้อเท็จจริง คงฟังได้ว่าจำเลยนี้ได้เจตนาทุจริตยักยอกเงินที่จำเลยรับไว้ในหน้าที่ตามจำนวนที่โจทก์กล่าวในฟ้องไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจำเลยเสียจริง ส่วนปัญหาที่จะต้องพิจารณาคงมีว่าจำเลยจะมีผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกตาม กฎหมายอาญา มาตรา 131 หรือไม่ ข้อนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามพยานโจทก์ว่าเจ้าหน้าที่ของสำนักงานท่องเที่ยวนี้ได้รับเงินเดือนประเภทการจร มีฐานะเป็นลูกจ้างรายเดือนของสำนักงาน และในคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนที่โจทก์อ้างก็ปรากฏว่าจำเลยรับราชการเป็นลูกจ้าง ได้ค่าจ้างเป็นรายเดือน ฉะนั้น จำเลยจึงไม่เป็นข้าราชการตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ถือไม่ได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานอันจะเป็นผิดตาม มาตรา 131 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา สำนักงานท่องเที่ยวจะเป็นส่วนราชการหรือไม่ไม่สำคัญ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นจึงพิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








