คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2542
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 525, 1336
โจทก์กับ ช. เจ้ามรดก มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือจำเลยและ ล.จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมที่ ช. ทำไว้อันเป็นการได้มาโดยทางมรดกมิใช่รับโอนมาโดยโจทก์ยกให้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิ ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ ปัญหาว่า พินัยกรรมฉบับที่ ช. ทำดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงใดหรือไม่ โจทก์ซึ่ง เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ช. ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่ การที่โจทก์ลงชื่อให้ความยินยอมในพินัยกรรมของ ช. ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำนิติกรรม ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและนางสาวลำใย ปานทอง เป็นบุตรโจทก์กับนายชิต ปานทองที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 133 เป็นสินสมรสของโจทก์กับนายชิตต่อมานายชิตทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย 13 ไร่ 3 งาน 92 ตารางวา ส่วนที่เหลือยกให้นางสาวลำใย โดยมีข้อตกลงให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และนางสาวลำใย ผู้ทุพพลภาพ หากไม่อุปการะให้โจทก์เอาที่ดินคืนได้ การทำพินัยกรรมดังกล่าวโจทก์เป็นผู้ให้ความยินยอม ซึ่งถือว่าโจทก์ยกที่ดินสินสมรสจำนวนเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา ให้จำเลยโดยเสน่หา หลังจากนั้นนายชิตตาย จำเลยและนางสาวลำใยจึงรับโอนทรัพย์มรดกดังกล่าว ต่อมาจำเลยประสงค์จะกู้เงินจากธนาคารและวันที่ 6 พฤษภาคม 2538 จำเลยขอให้โจทก์ช่วยพูดขอร้องนางสาวลำใยเพื่อให้ลงชื่อมอบอำนาจให้จำเลยนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินกู้ธนาคารเป็นเงิน 200,000 บาท แต่เนื่องจากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่เคยอุปการะโจทก์และโจทก์ปลูกบ้านอาศัยอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวด้วย หากจำเลยไม่ชำระหนี้เงินกู้จะทำให้ที่ดินถูกบังคับชำระหนี้ โจทก์จึงไม่ยินยอม เป็นเหตุให้จำเลยไม่พอใจ แล้วทุบตีนางสาวลำใยและพูดหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบ น.ส.3 เลขที่ 133 หมู่ 6 ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แก่โจทก์พร้อมกับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวนเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา แก่โจทก์ หากจำเลยเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่พิพาทไม่ได้เป็นสินสมรส จำเลยได้มาโดยรับมรดกตามพินัยกรรมของนายชิต ปานทอง โจทก์มิได้เป็นผู้ให้ที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชิต ปานทอง มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือจำเลยและนางสาวลำใยปานทอง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2526 นายชิตทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินพิพาทเนื้อที่จำนวน 13 ไร่ 3 งาน 92 ตารางวา ให้แก่จำเลย ส่วนที่เหลืออีกจำนวน5 ไร่ ยกให้แก่นางสาวลำใย โดยโจทก์เป็นผู้ให้ความยินยอม ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2529นายชิตถึงแก่ความตาย ในวันที่ 10 มิถุนายน 2530 จำเลยและนางสาวลำใยจดทะเบียนรับโอนที่ดินดังกล่าวตามพินัยกรรม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย และมีเหตุเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณหรือไม่ เห็นว่า จำเลยรับโอนที่ดินมาตามพินัยกรรมที่นายชิตทำไว้เป็นการรับโอนหลังจากนายชิตถึงแก่ความตายแล้วและตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นการรับโอนมรดกมา ดังนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยทางมรดก หาใช่รับโอนมาโดยการยกให้ไม่ โจทก์จึงมิใช่ผู้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า นายชิตไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้นั้น ในข้อนี้คงเป็นปัญหาว่า พินัยกรรมฉบับดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงใดหรือไม่ ในเรื่องนี้โจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันในเรื่องนั้นโดยตรง อีกทั้งการที่โจทก์ลงชื่อให้ความยินยอมในพินัยกรรมของนายชิต กรณีก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลย
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางศรีหรือสี ปานทอง จำเลย - นายอรุณ ปานทอง
ชื่อองค์คณะ สุเมธ ตังคจิวางกูร วิเทพ ศิริพากย์ ประสพสุข บุญเดช
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan