สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคหนึ่ง, 252 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15

การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและมิได้ยกข้อเท็จจริงตามฎีกาขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับจำเลยมาก่อนแล้วผู้เสียหายมารอจำเลยที่บ้านของบิดาจำเลยโดยพร้อมที่จะทะเลาะวิวาทกับจำเลย จำเลยจึงเกิดโทสะเข้าชกต่อยผู้เสียหายแล้วจำเลยพลั้งมือหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย จำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุสมควร ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 5 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 500 บาท รวมจำคุก 5 ปี และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า จำเลยไม่พอใจนายชาตรี บิดาจำเลยที่ให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่ภริยาผู้เสียหายซึ่งเดิมที่ดินดังกล่าวบิดาจำเลยยกให้แก่จำเลย จำเลยจึงได้ปักป้ายสาปแช่งผู้เสียหาย วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ผู้เสียหายเห็นป้ายดังกล่าวจึงไปพบนายชาตรี บิดาจำเลยที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อสอบถามโดยนั่งอยู่ที่โต๊ะบริเวณหน้าบ้าน หันหลังให้ประตูบ้าน หันหน้าเข้าตัวบ้าน มีนายบุญแก้ว ลูกจ้างของผู้เสียหายใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพเคลื่อนไหวการสนทนา ขณะนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายทะลุมือขวาที่สวมถุงมือและถูกเสื้อของผู้เสียหายขาดเป็นรู แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า คำเบิกความของผู้เสียหายสอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและนายบุญแก้วซึ่งเห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุเคยให้การในชั้นสอบสวน โดยไม่มีข้อพิรุธ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายจนทะลุมือขวาที่สวมถุงมือซึ่งผู้เสียหายยกขึ้นกันไว้ และยังทะลุเสื้อผ้าฝ้ายที่ผู้เสียหายสวมใส่จนเกิดบาดแผลขีดข่วนบริเวณอกส่วนบน ตามภาพถ่ายผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์และคำให้การของนายแพทย์สามารถ ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผล บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อาวุธมีดแทงโดยแรงและเลือกแทงบริเวณอกส่วนบนของผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ หากผู้เสียหายมิได้ยกมือขวาขึ้นกันไว้เสียก่อนย่อมต้องถูกแทงทะลุอกส่วนบนจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประกอบกับยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและคำให้การของนายบุญแก้วทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อจำเลยถูกผู้เสียหายถีบจนถอยออก จำเลยยังพุ่งตรงมาที่ผู้เสียหายเพื่อจะแทงซ้ำอีกจนมีการกอดรัดฟัดเหวี่ยง นายบุญแก้วจึงเข้ามาช่วยบิดข้อมือจำเลยเพื่อเอามีดออก ยิ่งแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องพกพาอาวุธมีดไปทำร้ายผู้เสียหายทันทีที่พบเห็น ความจริงแล้วจำเลยเข้าชกต่อยผู้เสียหายก่อน แล้วจำเลยพลั้งมือไปหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า นั้น เห็นว่า พฤติการณ์ตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่สัมพันธ์กับลักษณะบาดแผลที่มือขวาของผู้เสียหาย ไม่น่ารับฟัง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและมิได้ยกข้อเท็จจริงตามฎีกาขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับจำเลยมาก่อนแล้วผู้เสียหายมารอจำเลยที่บ้านของบิดาจำเลยโดยพร้อมที่จะทะเลาะวิวาทกับจำเลย จำเลยจึงเกิดโทสะเข้าชกต่อยผู้เสียหายแล้วจำเลยพลั้งมือหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย และจำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มีระวางโทษสองในสามส่วนของโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วางโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 5 ปี เป็นการลงโทษจำคุกขั้นต่ำสุดตามกฎหมายแล้ว ไม่สามารถลงโทษจำคุกต่ำกว่านี้ได้อีก และการกระทำความผิดของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและจำเลยได้วางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อบรรเทาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย อีกทั้งยังมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.690/2567

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย จำเลย - นาย ก.

ชื่อองค์คณะ จักษ์ชัย เยพิทักษ์ ธวัชชัย รัตนเหลี่ยม ปรีชา เชิดชู

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดเชียงราย - นางสาวณภัค วิชญศิวานนท์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 - นางกริตติกา ทองธรรม

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th