สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23

โจทก์ร่วมยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขออนุญาตฎีกาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 มิใช่เป็นกรณีที่ต้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเห็นสมควรให้โจทก์ร่วมดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาให้ถูกต้องภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ร่วมทิ้งคำร้อง อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นคำร้องที่ถูกต้องวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คำสั่งรับฎีกาโจทก์ร่วมของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 336 ทวิ

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาบริษัท ห. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 2,005,673.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม

จำเลยทั้งสองให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง

โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนคำร้องในคดีส่วนแพ่ง จำเลยทั้งสองไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีในส่วนแพ่งออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 3 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 2 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 30,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับจำเลยทั้งสองคนละ 20,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกของศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท โทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยทั้งสองฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งรับฎีกาโจทก์ร่วมของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขออนุญาตฎีกาในวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 มิใช่เป็นกรณีที่ต้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นสมควรให้โจทก์ร่วมดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาให้ถูกต้องภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ร่วมทิ้งคำร้อง อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 สิงหาคม 2566 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นคำร้องที่ถูกต้องวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คำสั่งรับฎีกาโจทก์ร่วมของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ เห็นว่า ได้ความจากคำเบิกความของนายเฉิน กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมประกอบกิจการหล่ออะลูมิเนียม โจทก์ร่วมซื้อเศษอะลูมิเนียมจากจำเลยที่ 1 มานานหลายปี ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมยังค้างชำระเงินค่าเศษอะลูมิเนียมจำเลยที่ 1 ประมาณ 200,000 บาท จำเลยที่ 1 เคยโทรศัพท์ทวงถามหนี้หลายครั้ง แต่พยานบอกว่าไม่มี ในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองโทรศัพท์หาพยาน พยานบอกว่าติดคดีอยู่ที่ศาลคุยไม่ได้เจือสมกับทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองพยายามโทรศัพท์ติดต่อนายเฉินหลายครั้งเพื่อทวงหนี้แต่นายเฉินไม่ยอมรับสาย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองเอาเครื่องตรวจสารเคมีของโจทก์ร่วมไปโดยพลการ ขณะเกิดเหตุมีพนักงานของโจทก์ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุหลายคนรวมทั้งนายอี้ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทโจทก์ร่วมแต่ไม่ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้เข้าห้ามปรามจำเลยทั้งสอง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองนับว่าไม่ร้ายแรง ทั้งเมื่อร้อยตำรวจเอกอะลามแจ้งให้จำเลยทั้งสองนำเครื่องตรวจสารเคมีดังกล่าวมาคืน จำเลยทั้งสองก็นำไปคืนให้แก่โจทก์ร่วมทันทีในวันเกิดเหตุ ถือได้ว่าเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด จำเลยทั้งสองไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและประกอบอาชีพโดยสุจริตมาตลอด การให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดีน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสองและสังคมส่วนรวมมากกว่าการลงโทษจำคุก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น แต่เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง

พิพากษายืน แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.569/2567

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE