ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาของเรืออากาศเอกเกื้อ เมื่อเรืออากาศเอกเกื้อถึงแก่กรรม โจทก์จึงมีสิทธิรับบำเหน็จตกทอดของผู้ตาย แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธการเบิกจ่าย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินบำเหน็จตกทอดจำนวน20,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับเรืออากาศเอกเกื้อ ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของโจทก์ จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องรับผิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการเบิกจ่ายบำเหน็จตกทอดให้แก่โจทก์เป็นเงิน 9,920 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เรืออากาศเอกเกื้อ อยู่กินฉันสามีภรรยากับนางสงวนก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และยังไม่ขาดจากการสมรส ต่อมาผู้ตายสมรสกับโจทก์ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายโจทก์ขอรับบำเหน็จตกทอดในฐานะภรรยาและในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ จำเลยที่ 1 ได้เสนอความเห็นไปยังกระทรวงกลาโหม ขอให้กระทรวงการคลังจ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่บุตรผู้เยาว์ก่อน และขอกันส่วนของภรรยาไว้ เพราะนางสงวนยังมิได้ดำเนินการให้ศาลสั่งว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายเป็นโมฆะจำเลยที่ 1 ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า

  1. จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเห็นว่าแม้ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 51 จะบัญญัติหน้าที่ของกระทรวงเจ้าสังกัดจำเลยที่ 1 เพียงรับตรวจสอบนำส่งให้ถึงกระทรวงการคลังและให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาสั่งก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เสนอความเห็นส่งต่อไปถึงกระทรวงการคลัง ขอให้กันบำเหน็จตกทอดส่วนของภรรยาไว้ จนเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินบำเหน็จตกทอดส่วนของโจทก์นั้น ถือได้แล้วว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์มีอำนาจฟ้อง

  2. เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ชายหรือหญิงมีคู่สมรสที่ถูกต้องได้เพียงคนเดียว ฉะนั้นจะถือว่าเมื่อยังไม่มีคำพิพากษาของศาลแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะ ภรรยาทั้งสองก็เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายด้วยกันหาได้ไม่เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ชัดว่า คำพิพากษาศาลเท่านั้นจะแสดงว่าการสมรสใดเป็นโมฆะ ฉะนั้นตราบใดที่ไม่มีคำพิพากษาศาลแสดงว่าการสมรสของโจทก์เป็นโมฆะ จะถือว่าโจทก์ไม่เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายหาได้ไม่โจทก์จึงมีสิทธิรับบำเหน็จตกทอดในส่วนของภรรยา

  3. ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเพียงใด ฉะนั้นศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีโดยเพียงแต่พิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและหลักฐานทั้งปวงในสำนวนความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 ฉะนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ได้ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนก็ชอบที่จะทำได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th