คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3787/2564
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 274 วรรคหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีภายหลังจากที่ ป.วิ.พ. มาตรา 274 ที่แก้ไขเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่30) พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ การบังคับคดีของโจทก์จึงตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 274 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่
ส. เป็นบุคคลภายนอกมิใช่คู่ความในคดีที่ถูกฟ้องแต่แรก แต่ ส. ยินยอมเข้ามาในคดีโดยตกลงยอมรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างลูกหนี้ร่วมและได้ลงลายมือชื่อผูกพันตนว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วด้วย สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงมีผลผูกพัน ส. ในฐานะเป็นบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ต้องปฏิบัติตาม เมื่อ ส. ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดี ส. ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมว่า จำเลยนำนายเสริมวงศ์ เข้าเป็นลูกหนี้ร่วม ตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ 3,600,000 บาท โดยนายเสริมวงศ์ ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 188236 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคาร 3 ชั้น ให้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยเดือนละ 10,000 บาท ให้แก่โจทก์จนกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแล้วเสร็จ หากจำเลยและนายเสริมวงศ์ผิดสัญญาถือว่าผิดนัด จำเลยและนายเสริมวงศ์ยอมให้บังคับคดีได้ทันทีโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยและนายเสริมวงศ์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ผิดหลงไม่ได้แถลงให้ศาลทราบถึงการยินยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วมของนายเสริมวงศ์ กับจำเลย ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีนายเสริมวงศ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำร้องขอของโจทก์และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของนายเสริมวงศ์เป็นที่ดิน 6 แปลง โฉนดเลขที่ 170669 และ 170685 ถึง 170689 ต่อมานางเปรมฤดี และนายภาณุวัฒน์ ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินทั้ง 6 แปลง ดังกล่าว อ้างว่าไม่ใช่ที่ดินของนายเสริมวงศ์แต่เป็นของบุคคลทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอออกหมายบังคับคดีของโจทก์ใหม่ว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของนายเสริมวงศ์ บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่จำเลยอันเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้กระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการมาทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลเห็นสมควรมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และเพิกถอนการยึดทรัพย์ของนายเสริมวงศ์ เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมในกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันนายเสริมวงศ์ หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วระบุให้จำเลยนำนายเสริมวงศ์ เข้าเป็นลูกหนี้ร่วม ตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ 3,600,000 บาท โดยนายเสริมวงศ์ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 188236 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคาร 3 ชั้น ให้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท จนกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์จนแล้วเสร็จ หากจำเลยและนายเสริมวงศ์ลูกหนี้ร่วมผิดสัญญาถือว่าผิดนัด จำเลยและนายเสริมวงศ์ยอมให้บังคับคดีได้ทันทีโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แม้นายเสริมวงศ์เป็นบุคคลภายนอกมิใช่คู่ความในคดีที่ถูกฟ้องแต่แรก แต่นายเสริมวงศ์ก็ยินยอมเข้ามาในคดีโดยตกลงยอมรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างลูกหนี้ร่วมและได้ลงลายมือชื่อผูกพันตนว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวด้วย ประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 274 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2560 เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีวันที่ 20 มีนาคม 2561 ภายหลังจากบทบัญญัติมาตรา 274 ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว การบังคับคดีของโจทก์จึงตกอยู่ภายใต้บังคับของวรรคหนึ่งแห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวที่แก้ไขใหม่ซึ่งบัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้ (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดี…" สัญญาประนีประนอมยอมและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงมีผลผูกพันนายเสริมวงศ์ในฐานะเป็นบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ต้องปฏิบัติตาม เมื่อนายเสริมวงศ์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีนายเสริมวงศ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและเพิกถอนการยึดทรัพย์ของนายเสริมวงศ์ ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพิกถอนการยึดทรัพย์ของนายเสริมวงศ์ และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.452/2564
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย ว. จำเลย - นางหรือนางสาว ว.
ชื่อองค์คณะ อำพันธ์ สมบัติสถาพรกุล ภัทรศักดิ์ วรรณแสง สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดพัทยา - นายณฐกร ต้องวัฒนา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายสมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่