คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3818/2534
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ม. 9, 13, 18
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินกฎหมายให้ประเมินจากค่ารายปีกรณีไม่อาจทราบค่ารายปีได้จากค่าเช่าที่สมควรให้เช่าในปีหนึ่ง ๆจึงต้องประเมินโดยนำค่ารายปีของปีที่ล่วงมาถัดจากปีที่ต้องเสียภาษีขึ้นไปมาเป็นหลักในการคำนวณ มิใช่นำเอาค่ารายปีที่ล่วงมาแล้วหลายปีมาเป็นหลักในการประเมิน โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรกลเป็นส่วนควบสำคัญของอาคารเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรม จึงมีสิทธิได้ลดค่ารายปีเหลือหนึ่งในสามและโรงเรือนที่ปิดตลอดปีย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 แม้จะเป็นผู้ชี้ขาดการประเมินก็เป็นเรื่องที่ชี้ขาดไปตามอำนาจหน้าที่ มิได้ชี้ขาดโดยแกล้งให้โจทก์ต้องรับผิดค่าภาษีต่อจำเลยที่ 1 และมิใช่ผู้ที่รับเงินภาษีไว้ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะให้จำเลยที่ 2ร่วมคืนเงินค่าภาษีให้แก่โจทก์.
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนของเจ้าพนักงานเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 เขตดุสิตตามแบบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือน (ภ.ร.ด.8) ประจำปี 2528 เล่มที่ 44 เลขที่ 9ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2528 และประจำปี 2530 เล่มที่ 39 เลขที่ 25ลงวันที่ 26 มีนาคม 2530 กับให้เพิกถอนคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 2 (ภ.ร.ด.11)ประจำปี 2528 เล่มที่ 8 เลขที่ 58 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2531และประจำปี 2530 เล่มที่ 8 เลขที่ 59 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2531ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนประจำปี 2528และปี 2530 รวมเป็นเงิน 228,544.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้กำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นโดยนำเทียบกับโรงเรือนของบริษัทบุญรอดบริเวอรี่ จำกัด และองค์การทอผ้าที่มีสภาพการใช้ประโยชน์และทำเลเดียวกันกับทรัพย์สินของโจทก์และได้มีการเรียกเก็บภาษีในปีเดียวกันด้วยในการกำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดค่ารายปีเพื่อเรียกเก็บภาษีแก่โจทก์ต่ำกว่าของบริษัทหรือบุคคลอื่นเสียอีกซึ่งบริษัทหรือบุคคลอื่นได้ยินยอมชำระภาษีตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยคำนวณโดยตลอดและไม่มีการโต้แย้งแต่ประการใดขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ววิธีการดำเนินการประเมินค่ารายปีตามที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 18 บัญญัติว่า "ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้นท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา"นั้น หมายถึงกรณีที่ค่ารายปีไม่อาจจะเห็นได้จากค่าเช่าที่สมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งจึงต้องประเมินโดยนำค่ารายปีของปีที่ล่วงมาถัดจากปีที่ต้องเสียภาษีขึ้นไปมาเป็นหลักมิใช่นำเอาค่ารายปีที่ล่วงมาหลายปีแล้วมาเป็นหลัก ดังนั้นการที่โจทก์อ้างว่าจะต้องเอาค่ารายปีของปี 2522 มาเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปีในปี 2528และปี 2530 ที่พิพาทกันเป็นคดีนี้จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของมาตรานี้ และข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาก็ไม่ได้ความว่าค่ารายปีในปี 2522 นั้น โรงเรือนที่พิพาทมีค่ารายปีเท่าใด คงกล่าวอ้างขึ้นมาว่าปีพิพาทเพิ่มขึ้นจากปี 2522 เป็นร้อยละเท่าใดเท่านั้นข้อเท็จจริงจึงไม่อาจฟังได้เป็นที่แน่นอนว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละตามที่โจทก์อ้าง อันจะเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กำหนดค่ารายปีที่พิพาทกันสูงเกินไปข้อเท็จจริงกลับได้ความตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 72 ถึง 99ซึ่งเป็นสัญญาเช่าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยที่ 1 ในส่วนของโรงเรือนที่โจทก์ได้มีการเช่ากันจริง ปรากฏว่าโจทก์ให้เช่าโรงเรือนส่วนที่เป็นสำนักงานใหญ่ และโรงเรือนหลังอื่น ในปี 2527 ในอัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 100 บาทต่อเดือน ดังนั้นการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประเมินค่ารายปีโรงเรือนของโจทก์ในปี 2528สำหรับโรงเรือนที่เป็นตึกตารางเมตรละ 18 บาทต่อเดือน ส่วนที่เป็นโรงตารางเมตรละ 12 บาทต่อเดือน สำหรับที่ดินต่อเนื่องตารางเมตรละ 4 บาทต่อเดือน ในปี 2530 โรงเรือนที่เป็นตึกตารางเมตรละ 20 บาทต่อเดือน ส่วนที่เป็นโรงตารางเมตรละ 14บาทต่อเดือน ที่ดินตารางเมตรละ 5 บาทต่อเดือน เห็นได้ว่าการประเมินค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ในอัตราดังกล่าวนั้น เป็นการกำหนดค่ารายปีที่มิได้สูงกว่าราคาที่สมควรจะให้เช่าได้ จึงมิใช่การประเมินค่ารายปีที่มิชอบ ศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยในเรื่องค่ารายปีชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสองเรื่องจะต้องลดค่ารายปีเหลือหนึ่งในสามหรือไม่นั้น โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่า สำหรับภาษีปี 2528 โรงเรือนรายการที่ 52 ปี 2530 รายการที่ 25 และรายการที่ 37 โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรกลไกเป็นส่วนควบสำคัญเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรมของโจทก์จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ว่าโรงเรือนทั้ง 3 รายการ ดังกล่าวข้างต้น โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรกลไกเป็นส่วนควบสำคัญ เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมของโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ลดค่ารายปีเหลือหนึ่งในสามตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 13จำเลยที่ 1 คำนวณภาษีโดยไม่ลดค่ารายปีให้โจทก์ และจำเลยที่ 2ชี้ขาดไปตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่คำนวณภาษีมาจึงเป็นการไม่ชอบ
ปี 2528 รายการที่ 52 ค่ารายปีที่ประเมิน 75,600 บาทลดเหลือหนึ่งในสามคงเป็นค่ารายปีที่ต้องมาคำนวณภาษีจำนวน 25,200 บาทคิดเป็นค่าภาษี 3,780 บาท จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากโจทก์ไว้ในรายการนี้ 9,450 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เรียกเก็บเกินไปให้โจทก์5,670 บาท
ปี 2530 รายการที่ 25 ค่ารายปีที่ประเมิน 48,600 บาท ลดเหลือหนึ่งในสาม คงเป็นค่ารายปีที่ต้องนำมาคำนวณภาษีจำนวน 16,200 บาทคิดเป็นค่าภาษี 2,430 บาท จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากโจทก์ไว้ในรายการนี้ 6,075 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เรียกเก็บเกินไปให้โจทก์3,645 บาท
ปี 2530 รายการที่ 37 ค่ารายปีที่ประเมิน 84,000 บาทลดเหลือหนึ่งในสาม คงเป็นค่ารายปีที่ต้องนำมาคำนวณภาษีจำนวน28,000 บาท คิดเป็นค่าภาษี 4,200 บาท จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากโจทก์ไว้ในรายการนี้ 10,500 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เรียกเก็บเกินไปให้โจทก์ 6,300 บาท
ที่ศาลภาษีอากรกลางยกฟ้องของโจทก์ตามรายการดังกล่าวด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อสามเรื่องโรงเรือนของโจทก์ที่ปิดไว้นั้น โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าปี 2528 โรงเรือนรายการที่ 77 เป็นโรงเรือนที่โจทก์ปิดไว้ตลอดปี จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ส่วนนี้ คดีจึงต้องฟังตามคำฟ้องของโจทก์ว่าโรงเรือนรายการนี้โจทก์ปิดไว้ตลอดปีจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 9(5) การที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บภาษีในรายการนี้จากโจทก์และที่จำเลยที่ 2 ชี้ขาดไปตามที่เจ้าพนักงานเรียกเก็บจึงเป็นการไม่ชอบ ภาษีที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากโจทก์ไว้ในรายการนี้3,199.50 บาท จึงต้องคืนให้โจทก์ทั้งหมด ศาลภาษีอากรกลางยกฟ้องของโจทก์ในรายการนี้ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังขึ้น
จำนวนเงินภาษีที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บโดยมิชอบทั้งหมดที่โจทก์มีสิทธิได้คืนเป็นเงิน 18,814.50 บาท ส่วนจำเลยที่ 2แม้จะเป็นผู้ชี้ขาดการประเมินก็เป็นเรื่องที่ชี้ขาดไปตามอำนาจหน้าที่มิได้ชี้ขาดไปโดยแกล้งให้โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1และมิใช่ผู้ที่รับเงินภาษีส่วนที่เป็นของโจทก์ไว้ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะให้จำเลยที่ 2 ร่วมคืนเงินจำนวนดังกล่าวด้วย"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีปี 2528รายการที่ 52 ปี 2530 รายการที่ 25 และ 37 โดยให้ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสาม และให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีปี 2528 รายการที่ 77 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีโรงเรือนที่เกี่ยวกับโรงเรือนดังกล่าวจำนวน 18,814.50 บาทแก่โจทก์ ถ้าไม่คืนภายในกำหนดสามเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ให้จำเลยที่ 1 ฟัง ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันครบกำหนดสามเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ปูนซิเมนต์ ไทย จำกัด จำเลย - กรุงเทพมหานคร กับพวก
ชื่อองค์คณะ อุดม เฟื่องฟุ้ง ก้าน อันนานนท์ ตัน เวทไว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan