คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2542
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1336, 1375 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (1)
ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างมิได้เจ้าทำประโยชน์ในที่พิพาทต่างถือสิทธิโดยอ้างเพียงเอกสารสิทธิตาม น.ส.3 และโฉนดที่ดินที่ตนมีชื่ออยู่เป็นสำคัญคดีจึงไม่มีปัญหาไปถึงเรื่องการแย่งการครอบครอง ดังนั้น สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของจำเลยย่อมมีอยู่ตลอดไป คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความและไม่ต้องด้วยกรณีห้ามฟ้องเกินกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง
เมื่อศาลฟังว่าโฉนดที่ดินของจำเลยออกทับที่ดินของโจทก์ อันเป็นการวินิจฉัยในประเด็นพิพาทที่ตั้งไว้ และให้เพิกถอนโฉนดส่วนที่ออกทับนั้น ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ แม้ศาลจะไม่ได้ตั้งเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ก็ตาม หาใช่การพิพากษานอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 1268 เนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2537 โจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปขอออกโฉนด แต่ได้รับแจ้งว่าจำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1271 ไปออกเป็นโฉนดทับที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง เป็นโฉนดเลขที่ 15039 เนื้อที่ 1 งาน 62 6/10 ตารางวา ขอให้พิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 15039 เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นเพียงผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 1268 โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิครอบครองและไม่มีสิทธิขอออกโฉนด จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 15039 โดยยื่นคำขอออกโฉนดตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 1271 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ครอบครอง เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำตามระเบียบและถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน มิได้รังวัดทับที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์รู้เรื่องการออกโฉนดที่ดินของจำเลยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รับโอนที่ดินมาจากนายอนันต์ นวลจันทร์ เจ้าของเดิมเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 15039 เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1268 เนื้อที่ 80 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณเดียวกัน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1271 เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ที่ดินแปลงของจำเลยจำเลยได้ขอออกโฉนดเมื่อปี 2517ตามโฉนดเลขที่ 15039 เนื้อที่ 1 งาน 62 6/10 ตารางวา โดยจำเลยนำรังวัดออกโฉนดทับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ทั้ง 2 ฝ่ายต่างถือสิทธิโดยอ้างเพียงเอกสารสิทธิที่ตนมีชื่ออยู่เป็นสำคัญคดีจึงไม่มีปัญหาไปถึงเรื่องการแย่งการครอบครอง ด้วยเหตุนี้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องให้เพิกถอนโฉนดของจำเลย จึงย่อมมีอยู่ตลอดไป คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ และไม่ต้องด้วยกรณีห้ามฟ้องเกินกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาอีกข้อหนึ่งของจำเลยมีว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทเป็นการพิพากษานอกประเด็นหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าเป็นการพิพากษานอกประเด็นเนื่องจากศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นพิพาทในเรื่องนี้ไว้ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ตั้งเรื่องนี้เป็นประเด็นพิพาทไว้ แต่การที่ศาลฟังว่าโฉนดที่ดินของจำเลยออกทับที่ดินของโจทก์ อันเป็นการวินิจฉัยในประเด็นพิพาทที่ตั้งไว้ และให้เพิกถอนโฉนดส่วนที่ออกทับนั้น ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทได้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ หาใช่การพิพากษานอกประเด็นไม่
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง สุภาวดี อุดมมงคลกิจ จำเลย - นาง วารุณี ไตรวิวัฒนา
ชื่อองค์คณะ ประดิษฐ์ สิงหทัศน์ พิมล สมานิตย์ ศุภชัย ภู่งาม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan