คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3884/2540
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1387
เมื่อจำเลยซื้อที่ดินมาแล้วก็ได้สร้างกำแพงกั้นตลอดแนวระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลย คงเว้นเป็นช่องกว้าง 3.85 เมตรเพื่อให้โจทก์ใช้ผ่านเข้าออกแต่ได้สร้างประตูเหล็กบานเลื่อนกั้นไว้ในที่ดินของจำเลย มีสายยูคล้องกุญแจและสามารถใส่กุญแจได้เมื่อไม่ประสงค์ให้โจทก์ใช้ แสดงถึงการหวงกันมิให้โจทก์หรือบุคคลอื่นใช้ทางพิพาทโดยพลการ จึงถือได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิและการอนุญาตให้ใช้จากฝ่ายจำเลยดังนั้น ไม่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้ทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6677 และ 6945 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวเลขที่ 2010 และ 2012 บนที่ดินดังกล่าวซึ่งอยู่ติดกับถนนพหลโยธิน ต่อมาโจทก์และเจ้าของรวมตกลงจะขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลย เว้นส่วนอาคารดังกล่าวและที่ดินด้านหลังอาคารบางส่วนรวมเป็นเนื้อที่ 77 ตารางวา โดยโจทก์กับเจ้าของรวมโอนที่ดินทั้งสองโฉนดให้จำเลยก่อนและให้จำเลยรวมที่ดินโฉนดทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วแบ่งแยกเฉพาะส่วนที่ไม่ขายโอนคืนแก่โจทก์ ระหว่างดำเนินการให้โจทก์มีสิทธิต่อเติมอาคารทั้งสองห้อง และมีสิทธิใช้เส้นทางทิศใต้ด้านฝั่งตะวันตกของถนนพหลโยธินกว้างประมาณ 9 เมตร ยาวประมาณ 35 เมตรโจทก์ได้ต่อเติมอาคารตามข้อตกลงและทำประตูกว้างประมาณ 3.8เมตร เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ถนนพหลโยธิน โดยวัดจากถนนพหลโยธินเข้ามา 35 เมตร เมื่อรวมที่ดินทั้งสองโฉนดแล้ว จำเลยได้โอนที่ดินส่วนของโจทก์คืนแก่โจทก์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2523 หลังจากนั้นจำเลยได้ทำรั้วกั้นอาณาเขตที่ดินของจำเลย แต่เว้นช่องกว้างประมาณ 3.8 เมตรตรงที่เดียวกับที่โจทก์ทำประตูเข้าออกเพื่อให้โจทก์ได้ใช้เป็นทางสัญจรซึ่งโจทก์และบริวารได้ใช้เส้นทางนี้ติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า 10 ปี ทางเดินดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความ จำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6945 จำต้องยอมให้ที่ดินของตนมีทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ ต่อมาประมาณปลายเดือนกันยายน 2535 จำเลยได้จงใจล่วงละเมิดสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์โดยนำกุญแจไปปิดล็อกประตูตรงช่องที่จำเลยเปิดให้โจทก์เดินสัญจร ทำให้โจทก์ไม่สามารถผ่านเข้าออกบริเวณดังกล่าวได้โจทก์มีอาชีพค้าขายอะไหล่รถยนต์มีความจำเป็นต้องใช้ทางขึ้นลงสินค้า และนำรถยนต์เข้าจอดเก็บจึงได้รับความเสียหายขอคิดค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 20,000 บาท นับแต่ต้นเดือนตุลาคม 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ได้ติดต่อจำเลยให้ไปจดทะเบียนภารจำยอมและชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมทางเดินบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6945 ทางทิศใต้ด้านฝั่งตะวันตกกว้างประมาณ 9 เมตรจากถนนพหลโยธินเข้ามา 35 เมตร เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6677 ของโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางตรงบริเวณประตูที่โจทก์ใช้เปิดเป็นทางเข้าออก หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามให้โจทก์มีอำนาจเข้าทำการรื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยงดเว้นกระทำการใดอันเป็นการรบกวนหรือขัดต่อสิทธิของโจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนับแต่เดือนตุลาคม 2535ไปจนกว่าโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาได้โดยปกติสุข
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินจากโจทก์ตามฟ้อง โดยมีข้อตกลงระหว่างโจทก์และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยว่าให้จำเลยเว้นการก่อสร้างรั้วกั้นที่ดินของจำเลยไว้บางส่วนเพื่อโจทก์และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนพหลโยธิน โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะทำประตูเหล็กเลื่อนโดยมีสายยูกุญแจปิดทางด้านที่ดินของจำเลย ทั้งจะต้องไม่รบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของจำเลย มิฉะนั้นจำเลยก็ไม่ให้ใช้ทางนี้ต่อไป และหากจำเลยเห็นสมควรจำเลยมีสิทธิเอากุญแจใส่ประตูเหล็กเลื่อนได้ทันที ส่วนที่ดินของโจทก์นั้นอยู่ติดกับถนนพหลโยธินกว้างประมาณ 10 เมตร อยู่แล้ว หลังจากที่จำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวแล้ว ได้ทำการสร้างเป็นโรงพยาบาลเส้นทางเข้าออกมียามดูแลและมอบบัตรผ่านให้ซึ่งโจทก์และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมก็จะต้องปฎิบัติดังกล่าวด้วย ต่อมาโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าอาคารด้านติดกับถนนพหลโยธินและโจทก์กับเจ้าของรวมได้ก่อสร้างต่อเติมอาคารและด้านหลังและเว้นทางเดินอาคารด้านหน้าไว้ประมาณ 1 เมตร เพื่อโจทก์และเจ้าของรวมเข้าออกด้านถนนพหลโยธิน ต่อมาโจทก์ใช้เส้นทางที่ตกลงไว้เดิมขนถ่ายสินค้าอันเป็นการกีดขวางในการประกอบธุรกิจของจำเลย เป็นการผิดเงื่อนไขตามที่ตกลงไว้จำเลยจึงนำกุญแจไปใส่ประตูเหล็กเลื่อน โจทก์กับพวกมิได้ใช้ทางเดินติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี เพราะการเข้าออกต้องได้รับใบผ่านจากยามของจำเลยก่อนและเมื่อโจทก์ก่อสร้างอาคารด้านหลังเมื่อปี 2535ก็มีทางเข้าออกถนนพหลโยธินได้อยู่แล้วทางพิพาทจึงไม่เป็นภารจำยอม โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเมื่อปี 2522 จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6945 จากโจทก์และเจ้าของรวมคนอื่นเพื่อใช้สร้างโรงพยาบาล ที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินโฉนดที่ 6677 ของโจทก์ ซึ่งมีตึกแถวเลขที่ 2010 และ 2012 ปลูกอยู่ ต่อมาจำเลยได้สร้างโรงพยาบาลเมโยบนที่ดินที่ซื้อมาและทำรั้วคอนกรีตกั้นระหว่างที่ดินโจทก์และจำเลยยาวตลอดแนวตึกแถวของโจทก์แต่เว้นช่องว่างด้านท้ายตึกแถวกว้างประมาณ 3.85 เมตร เพื่อให้โจทก์ใช้เป็นทางออกผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ถนนพหลโยธินได้อันเป็นทางพิพาท โจทก์ได้ใช้ทางดังกล่าวเข้าออกผ่านประตูเหล็กเลื่อนที่จำเลยสร้างขึ้นในที่ดินของจำเลยตลอดมาในปี 2535 จำเลยใส่กุญแจประตูเหล็กดังกล่าวไม่อนุญาตให้โจทก์ผ่านเข้าออกอีกโจทก์จึงมาฟ้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ได้ความว่า การที่โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทก็เพราะจำเลยตกลงยินยอมให้ใช้ตั้งแต่ขณะมีการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6945โจทก์เบิกความรับว่า ข้อตกลงที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นการตกลงด้วยวาจา ไม่ได้มีการทำเป็นหนังสือนางลักขณา พันธุ์นิธิ น้องสะใภ้โจทก์ที่เคยอยู่ในตึกแถวเลขที่ 2010 ของโจทก์และเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่โอนขายให้แก่จำเลยเบิกความว่า เดิมฝ่ายโจทก์ไม่ยอมขายส่วนที่เป็นทางพิพาทให้แก่จำเลยเพราะจะเก็บไว้เป็นทางเข้าออกถนนพหลโยธินแต่จำเลยว่าถ้าไม่ขายจำเลยก็จะไม่ซื้อที่ดินทั้งหมด ต่อมามีการเจรจากัน ฝ่ายโจทก์จึงตกลงขายส่วนที่เป็นถนนคือทางพิพาทให้แก่จำเลยด้วย แต่โจทก์ขอทำข้อตกลงให้มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นหนังสือ แต่จำเลยไม่ยินยอมอีก อ้างว่าถ้าทำเป็นหนังสือจะทำให้ที่ดินตกอยู่ในภารจำยอม จึงมีการตกลงให้โจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยวาจา เดิมพยานมีอาชีพขายแก๊สจำเลยเคยแจ้งให้พยานหยุดขายแก๊สที่บริเวณอาคารเลขที่ 2010 พยานจึงเลิกขายแก๊สและย้ายไปจากอาคารดังกล่าว การที่จำเลยห้ามพยานขายแก๊สนี้จำเลยจะบอกว่าหากไม่เลิกขายจะไม่อนุญาตให้ใช้ทางพิพาทต่อไปหรือไม่ จำไม่ได้ นอกจากนั้นนางสุมาลี พันธ์ุนิธิ น้องสะใภ้โจทก์ที่เคยอาศัยอยู่ในอาคารเลขที่ 2010 และรู้เห็นเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6945 ให้แก่จำเลยเบิกความว่าในการเจรจาขอใช้ทางพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น โจทก์ขอใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกโดยมิได้ขอให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอม เพียงแต่ขออาศัยเป็นทางเข้าออกเท่านั้น เห็นได้ว่าในขณะที่จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6945 จากฝ่ายโจทก์นั้นจำเลยไม่ประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นส่วนหนึ่งแห่งที่ดินในโฉนดดังกล่าวตกอยู่ในภารจำยอม ซึ่งฝ่ายโจทก์ก็ทราบดีและยินยอมตามนั้น เพียงแต่ขออาศัยใช้ทางพิพาทจากจำเลยเท่านั้นทั้งพฤติการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายปฎิบัติต่อกันในระหว่างที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ใช้ทางพิพาทก็ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยเป็นปรปักษ์ต่อจำเลยแต่อย่างใด ดังข้อเท็จจริงที่ปรากฎแต่ต้นว่าเมื่อจำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6945มาแล้วก็ได้สร้างกำแพงกั้นตลอดแนวระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลย คงเว้นเป็นช่องกว้าง 3.85 เมตร เพื่อให้โจทก์ใช้ผ่านเข้าออกแต่ได้สร้างประตูเหล็กบานเลื่อนกั้นไว้ในที่ดินของจำเลย มีสายยูคล้องกุญแจและสามารถใส่กุญแจได้เมื่อไม่ประสงค์ให้โจทก์ใช้ แสดงถึงการหวงกันมิให้โจทก์หรือบุคคลอื่นใช้ทางพิพาทโดยพลการ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิและการอนุญาตให้ใช้จากฝ่ายจำเลย ดังนั้น ไม่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้ทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ทั้งที่ดินโจทก์เองก็มีทางออกสู่ถนนพหลโยธินได้อยู่แล้วด้วย
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง วรุณี พันธุ์นิธิ จำเลย - บริษัท เมโยโพลี คลีนิค จำกัด
ชื่อองค์คณะ สุประดิษฐ์ หุตะสิงห์ สุชาติ ถาวรวงษ์ พิศาล พิริยะสถิต
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan