ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์และบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ผู้เป็นมารดาตามฟ้อง จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อที่โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวด้วยเรื่องอำนาจปกครองบุตร จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครอง ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะสั่งให้อำนาจปกครองเด็กหญิงจิระภรณ์และเด็กชายสุระชัยอยู่กับโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จำเลยจะมีรายได้และฐานะดีกว่าโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาก็มีอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขใหม่และใช้บังคับในขณะพิพาท ประกอบกับโจทก์เบิกความว่าหลังจากเลิกอยู่กินกับจำเลยแล้ว โจทก์ทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาทได้ค่าเช่าห้องแถวเดือนละ 1,200 บาท กับมีที่ดินอีก 2 แปลง ราคารวมกันประมาณ 500,000 บาท โดยมีมารดาโจทก์และนางมณฑาพี่สาวเบิกความสนับสนุนว่าโจทก์มีรายได้ดังกล่าว กับมีโฉนดเป็นหลักฐานว่าโจทก์มีที่ดิน2 แปลงจริง มารดาโจทก์ นางมณฑา และนายเลื่องหรือสุรพงษ์น้องโจทก์เบิกความด้วยว่าญาติทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตร เชื่อว่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดามีรายได้และหลักทรัพย์สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ ทั้งโจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 4 คน การที่โจทก์ขอให้บุตรดังกล่าวซึ่งเป็นบุตรคนเล็กเพียง 2 คนอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ จึงเป็นการสมควร"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา








