คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2563
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1590, 1598/18 วรรคสอง, 1726, 1736 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5)
ป.พ.พ. มาตรา 1598/18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1590 บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ปกครองมาใช้บังคับแก่ผู้อนุบาล โดยศาลจะตั้งผู้อนุบาลหลายคนให้กระทำการร่วมกันหรือกำหนดอำนาจเฉพาะสำหรับคนหนึ่ง ๆ ก็ได้ ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 179/2558 ให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของ ฤ. และจำเลยร่วมกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลฎีกาพิพากษายืนโดยศาลฎีกาให้ ฤ. เป็นผู้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของโจทก์ ตามคำสั่งศาลระบุเพียงว่า ฤ. และจำเลยเป็นผู้อนุบาลโจทก์ผู้ไร้ความสามารถ โดยมิได้กำหนดหน้าที่ของผู้อนุบาลแต่ละคนไว้โดยเฉพาะและมิได้กำหนดให้ผู้อนุบาลกระทำการร่วมกันอย่างไร ยกเว้นแต่ในเรื่องการกำหนดที่อยู่ที่ศาลฎีการะบุให้ ฤ. เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของโจทก์ได้ กรณีจึงต้องถือว่าการใดที่ ฤ. และจำเลยกระทำการแทนโจทก์รวมถึงการบอกล้างโมฆียะกรรมต้องกระทำด้วยความยินยอมพร้อมใจกัน ดังนั้น การที่โจทก์โดย ฤ. ในฐานะผู้อนุบาลเพียงคนเดียวโดยไม่มีจำเลยร่วมฟ้องเป็นคดีนั้นจึงขัดต่อคำสั่งศาล ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นปฏิปักษ์ต่อทรัพย์ของโจทก์ แต่ ฤ.ไม่อาจอ้างเหตุความเป็นปฏิปักษ์ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวได้เพราะ ฤ. อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถโดยแสดงเหตุขัดข้องดังกล่าว เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ฤ. เพียงฝ่ายเดียวมีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว หรือขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการขอถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้อนุบาลร่วมได้ ดังนั้น โจทก์โดย ฤ. ในฐานะผู้อนุบาลเพียงคนเดียวจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ปัญหาอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า นิติกรรมการให้ที่ดินทั้งเจ็ดแปลง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557 เป็นโมฆียะ ให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินทั้งเจ็ดแปลง ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 14348, 14350, 2543, 2133, 3726, 4297 และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยคืนเงิน 972,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 900,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่อาจโอนที่ดินตามโฉนดที่ดินหรือคืนโฉนดที่ดินได้ให้จำเลยคืนเงิน 3,514,950 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นมารดาของนาย ฤ. จำเลย นาย ช. และนางสาว พ. รวม 4 คน เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 14348, 14350, 2543, 2133, 3726, 4297 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 1852 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 นาย ฤ. ยื่นคำร้องขอให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถต่อศาลเยาวชนและครอบครัว ตามคำร้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 187/2555 ต่อมายื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องเป็นขอให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ โจทก์ จำเลย นาย ช. และนางสาว พ. ยื่นคำร้องคัดค้าน ในระหว่างการพิจารณาคดีโจทก์แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า โฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินทั้งเจ็ดแปลงสูญหายไป โจทก์ขอยกเลิกหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบอำนาจให้นาย ฤ. เป็นผู้มีอำนาจจัดการที่ดินทั้งเจ็ดแปลง ต่อมาโจทก์ขอออกใบแทน และวันที่ 20 มีนาคม 2557 โจทก์ทำนิติกรรมให้ที่ดินทั้งเจ็ดแปลงแก่จำเลย วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 179/2558 ให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของนาย ฤ. และจำเลยร่วมกัน ต่อมามีการอุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 พิพากษายืนและศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 พิพากษายืน และให้นาย ฤ. เป็นผู้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของโจทก์ ศาลเยาวชนและครอบครัวอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559 และวันที่ 26 มกราคม 2559 จำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 1852 ซึ่งมีชื่อของจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แก่นาย ด. ในราคา 900,000 บาท โจทก์โดยนาย อ. ทนายความผู้รับมอบอำนาจมีหนังสือลงวันที่ 19 มกราคม 2560 ถึงจำเลย เรื่อง บอกล้างนิติกรรมการให้ที่ดินทั้งเจ็ดแปลงดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลยตามหนังสือขอบอกล้างนิติกรรมการให้และซองจดหมาย โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1590 บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ปกครองมาใช้บังคับแก่ผู้อนุบาล โดยศาลจะตั้งผู้อนุบาลหลายคนให้การกระทำร่วมกันหรือกำหนดอำนาจเฉพาะสำหรับคนหนึ่ง ๆ ก็ได้ ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 179/2558 ให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของนาย ฤ. และจำเลยร่วมกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลฎีกาให้นาย ฤ. เป็นผู้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของโจทก์ ตามคำสั่งศาลระบุเพียงว่า นาย ฤ. และจำเลยเป็นผู้อนุบาลของโจทก์ผู้ไร้ความสามารถ โดยมิได้กำหนดหน้าที่ของผู้อนุบาลแต่ละคนไว้โดยเฉพาะ และมิได้กำหนดให้ผู้อนุบาลกระทำการร่วมกันอย่างไร ยกเว้นแต่ในเรื่องการกำหนดที่อยู่ที่ศาลฎีการะบุให้นาย ฤ. เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของโจทก์ได้ กรณีจึงต้องถือว่าการใดที่นาย ฤ. และจำเลยกระทำการแทนโจทก์รวมถึงการบอกล้างโมฆียะกรรมต้องกระทำด้วยความยินยอมพร้อมใจกัน ดังนั้น การที่โจทก์โดยนาย ฤ. ในฐานะผู้อนุบาลเพียงคนเดียวโดยไม่มีจำเลยร่วมฟ้องเป็นคดีนี้นั้น จึงขัดต่อคำสั่งศาล ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นปฏิปักษ์ต่อทรัพย์ของโจทก์ แต่นาย ฤ. ไม่อาจอ้างเหตุความเป็นปฏิปักษ์ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวได้เพราะนาย ฤ. อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถโดยแสดงเหตุขัดข้องดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นาย ฤ. เพียงฝ่ายเดียวมีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวหรือขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการขอถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้อนุบาลร่วมได้ ดังนั้น โจทก์โดยนาย ฤ. ในฐานะผู้อนุบาลเพียงคนเดียวจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ปัญหาอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.852/2562
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ค. โดยนาย ฤ. ผู้อนุบาล จำเลย - นาย ช.
ชื่อองค์คณะ ทวี ประจวบลาภ อาเล็ก จรรยาทรัพย์กิจ สาคร ตั้งวรรณวิบูลย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดนครสวรรค์ - นางเอมวดี บุญจันต๊ะ แก่นเมือง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 - นายสิทธิชัย ลีลาโสภิต