ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 20,000,000 บาทมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำหุ้นซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถืออยู่ในบริษัทจำเลยที่ 3 มาจำนำเป็นประกันการชำระหนี้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้บางส่วนยังคงค้างชำระอยู่18,291,575.35 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งห้าให้ชำระหนี้ 2 ครั้งซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้ปัจจุบันหุ้นของจำเลยที่ 3 หยุดการซื้อขายแล้ว จึงไม่มีมูลค่าพอที่จะหักชำระหนี้โจทก์ได้ จำเลยทั้งห้ามีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์คนเดียวไม่น้อยกว่า 500,000 บาท และ 40,000 บาทซึ่งเป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอน ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งห้าเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่แน่นอน ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบ จำเลยที่ 1ยังมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ได้ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ก่อนถึง 2 ครั้ง ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่ยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 ที่ 5ขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3 ที่ 5 เด็ดขาด

จำเลยที่ 5 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 5 เด็ดขาด ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยที่ 5 แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์และจำเลยที่ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2นำหุ้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถืออยู่ในบริษัทจำเลยที่ 3 มาจำนำเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 แต่ปัจจุบันหุ้นดังกล่าวหยุดการซื้อขายโดยสิ้นเชิง หุ้นดังกล่าวจึงไม่มีมูลค่าพอที่จะนำมาหักกับจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งห้าค้างชำระโจทก์ได้ เมื่อคำนวณราคาหุ้นและหักกับจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งห้าค้างชำระโจทก์แล้วเงินยังขาดอยู่อีกเป็นจำนวนมากกว่า 500,000 บาท และ 50,000 บาทตามลำดับ ถือว่า โจทก์ได้ตีราคาหลักประกันมาในฟ้องแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 10

ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 5 ระบุว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 141/5 ถนนสาธรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร ตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่ 5ตามที่อยู่ดังกล่าว การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 5ทั้งสองครั้งก็ได้ส่งที่ภูมิลำเนาตามที่ระบุในฟ้อง ซึ่งปรากฏจากรายงานการเดินหมายว่าพบชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี อยู่ในบ้านนั้นแจ้งว่าจำเลยที่ 5 ออกไปธุระข้างนอกไม่ยอมรับหมายแทนจึงปิดหมายตามคำสั่งศาล แสดงว่าจำเลยที่ 5 ยังมีภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง จำเลยที่ 5 มีที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 484ซอยเอื้อวัฒนสกุล ที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 5ถือได้เพียงว่าเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลยที่ 5 เท่านั้นและภูมิลำเนาตามฟ้องก็ถือว่าเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งเช่นกันการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงต้องถือเป็นการส่งโดยชอบแล้ว

คดีอยู่ระหว่างพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 1 ทนายของจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ 4 และที่ 5 ที่ประเทศมาเลเซีย โดยอ้างเหตุผลว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ไม่สะดวกที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย การที่จำเลยที่ 5 ออกไปอยู่นอกราชอาณาจักรจนบัดนี้ยังไม่กลับมา จึงเข้าข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(4) ก. ว่าจำเลยที่ 5เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th