สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 246, 252 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม. 14

ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 ตำบลทุ่งสมอ กิ่งอำเภอเข้าค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่ดินของรัฐ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยความเห็นชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้ที่ดิน ได้ออกหนังสือสำคัญให้ไว้เพื่อแสดงว่า บ. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราว และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและเงื่อนไขที่ทางราชการกำหนดไว้ด้านหลังหนังสือรับรองทุกประการ ซึ่งรวมทั้งเงื่อนไขห้ามมิให้แบ่งแยกและโอนที่ดินที่ได้รับการจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่ตกทอดทางมรดก และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 กำหนดหลักการไว้ว่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามกฎหมาย การพิจารณาจะอนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าไปทำประโยชน์หรืออาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต้องพิจารณาโดยเคร่งครัดตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บุคคลที่จะเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น เมื่อ บ. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราว จึงไม่สามารถโอนสิทธิดังกล่าวให้บุคคลอื่นได้ การที่ บ. ขายและโอนสิทธิดังกล่าวให้แก่ ว. และต่อมา ว. ทำสัญญาซื้อขายและโอนสิทธิดังกล่าว ให้แก่โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์และจำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง จึงเป็นการทำนิติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวตามที่ บ. ได้รับอนุญาตให้แก่บุคคลอื่น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดิน และกิจการรีสอร์ตพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทคืนแก่โจทก์ และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาท ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 252 จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวตามโครงการพัฒนากลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 จากผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงไม่มีสิทธิ์อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทเช่นกัน และเป็นกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ทราบ

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินและกิจการรีสอร์ตระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินและกิจการรีสอร์ตคืนแก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและกิจการรีสอร์ต หากส่งคืนที่ดินและกิจการรีสอร์ตให้แก่โจทก์ไม่ได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 30,286,845 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและกิจการรีสอร์ตระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบการครอบครองที่ดินและกิจการรีสอร์ตให้แก่โจทก์ร่วมดำเนินกิจการกับจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยที่ 2 เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการรีสอร์ต ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 ตำบลทุ่งสมอ กิ่งอำเภอเข้าค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีชื่อนางบุญทิ้ง เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ที่ดินพิพาทมีเงื่อนไขห้ามมิให้แบ่งแยกและโอนที่ดินที่ได้รับการจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่ตกทอดทางมรดก หลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว นางบุญทิ้งขายและโอนสิทธิการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวให้แก่นายวศิน ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 นายวศินทำหนังสือสัญญาซื้อขายและโอนสิทธิการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวในราคา 8,000,000 บาท ผู้ซื้อตกลงจะชำระเงินให้ครบถ้วนภายในเดือนธันวาคม 2560 มีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ ปัจจุบัน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในรีสอร์ตพิพาท เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทคืนแก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 ตำบลทุ่งสมอ กิ่งอำเภอเข้าค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่ดินของรัฐที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยความเห็นชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้ที่ดิน ได้ออกหนังสือสำคัญให้ไว้เพื่อแสดงว่า นางบุญทิ้งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราว และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและเงื่อนไขที่ทางราชการกำหนดไว้ด้านหลังหนังสือรับรองทุกประการ บ่งชี้ให้เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่า และได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า เมื่อประมาณปี 2560 ส่วนราชการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ และต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยที่ 1 ถูกกกล่าวหาว่า ก่อสร้าง แผ้วถาง ยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และยังมีข้อเท็จจริงกับคำวินิจฉัยสรุปว่า ที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถูกกล่าวหาอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาปางก่อและป่าวังชมภู และเป็นที่ดินที่กองทัพภาคที่ 3 ขอใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้เพื่อจัดสรรให้ราษฎรอาสาสมัคร (รอส.) ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก โดยจัดสรรให้นางบุญทิ้ง ราษฎรอาสาสมัคร สอดคล้องกับหนังสือรับรองการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 กำหนดหลักการไว้ว่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามกฎหมาย การพิจารณาจะอนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าไปทำประโยชน์หรืออาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติต้องพิจารณาโดยเคร่งครัดตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บุคคลที่จะเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น เมื่อนางบุญทิ้งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้แบ่งแยกและโอนที่ดินที่ได้รับการจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่ตกทอดทางมรดก นางบุญทิ้งจึงไม่สามารถโอนสิทธิการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวให้แก่บุคคลอื่นได้ ดังนี้ การที่นางบุญทิ้งขายและโอนสิทธิการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวให้แก่นายวศิน และต่อมานายวศินทำสัญญาซื้อขายและโอนสิทธิการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวให้แก่โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์และจำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง จึงเป็นการทำนิติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวตามที่นางบุญทิ้งได้รับอนุญาตให้แก่บุคคลอื่น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาทคืนแก่โจทก์ กับห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและกิจการรีสอร์ตพิพาท ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 252 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

อนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราวตามโครงการพัฒนากลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 จากผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงไม่มีสิทธิ์อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทเช่นกัน และเป็นกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.331/2566

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE