ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทรายพ.ศ. 2527 มาตรา 4, 17, 18, 44, 70, 76ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า บริษัทจำเลยมีนายอารีย์ ชุ้นฟุ้ง เป็นกรรมการผู้จัดการและเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน ส่วนนายกิมไล้ สิริวเสรี เป็นเพียงกรรมการคนหนึ่งมิใช่กรรมการผู้จัดการหรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนเรียกนายกิมไล้ มาสอบคำให้การแทนบริษัทจำเลย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณีซึ่งความหมายของคำว่า ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นย่อมหมายถึง ผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นตามกฎหมาย เช่น กรรมการผู้จัดการของบริษัทเมื่อปรากฏว่าในการสอบสวนคดีนี้ พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนนายกิมไล้กรรมการคนหนึ่งของบริษัทจำเลยในฐานะตัวแทนบริษัทจำเลยโดยมิได้สอบสวนนายอารีย์ กรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยและตามบันทึกคำให้การของนายกิมไล้ดังกล่าวมีข้อความว่า นายกิมไล้ไม่ขอให้การชั้นสอบสวนจะไปให้การในชั้นศาล และยังให้การว่า นายกิมไล้เป็นกรรมการบริษัทจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในการทำนิติกรรมของบริษัทจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่า บริษัทจำเลยมอบอำนาจให้นายกิมไล้กระทำการแทนบริษัทจำเลยได้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนนายกิมไล้ในฐานะตัวแทนบริษัทจำเลยเกี่ยวกับคดีอาญาคดีนี้ จึงยังถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนจำเลยโดยชอบโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








