สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4382/2564

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4382/2564

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1336

แม้ก่อนหน้านี้โจทก์มีหนังสือให้พรรค ป. ส่งคืนเงินสนับสนุนตามโครงการและแผนงานประจำปี 2543 ที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่มิได้รวมถึงเงินสนับสนุนประจำปี 2542 ที่โจทก์ฟ้องด้วย ทั้งมิได้ระบุจำนวนเงินที่ต้องคืนแต่อย่างใด และหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ป. แล้วก็ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเพื่อสรุปจำนวนเงิน จึงยังไม่มีหนี้เป็นจำนวนแน่นอนที่พรรค ป. ต้องชำระ แต่เมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและโจทก์มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าพรรค ป. และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 และ นาย ค. ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ป. คืนเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองประจำปี 2542 และ 2543 โดยกำหนดจำนวนเงินที่ต้องส่งคืนพร้อมดอกเบี้ยและกำหนดเวลาให้ชำระแล้ว จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 และ นาย ค. ไม่คืนภายในกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัด และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยนับแต่วันพ้นกำหนดตามหนังสือบอกกล่าว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 3,808,609.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,700,142 บาท นับแต่ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ขอสละประเด็นข้อพิพาทอื่น โดยแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะประเด็นเรื่องอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงิน 1,700,142 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในส่วนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 นับถัดจากวันที่ 10 มกราคม 2558 และจำเลยที่ 11 นับถัดจากวันที่ 16 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ แต่ให้จำเลยที่ 11 รับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนาย ค. ที่ตกให้แก่ตน

โจทก์อุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกทายาทของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งอนุญาตให้นางสาว น. บุตรของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน แต่ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดชำระต่อศาลในนามของโจทก์ ทั้งนี้ นางสาว น. ให้ร่วมรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 2 ตกทอดได้แก่ตน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสิบเอ็ดนับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 เนื่องจากโจทก์มีหนังสือแจ้งพรรค ป. คืนเงินสนับสนุนแล้ว แต่พรรค ป. เพิกเฉยไม่คืนเงินจนล่วงพ้นระยะเวลาที่กำหนด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือดังกล่าวจากจำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ การที่โจทก์เรียกดอกเบี้ยผิดนัดดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ป. คือนับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องโดยชอบด้วยกฎหมายจากหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร พ. โดยไม่ต้องบอกกล่าวแก่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคก่อน นั้น เห็นว่า ที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 26 ธันวาคม 2543 ให้พรรค ป. ส่งคืนเงินสนับสนุนตามโครงการและแผนงานประจำปี 2543 ที่เหลือจากการใช้จ่ายตามโครงการและแผนงานประจำปี 2543 ซึ่งได้เบิกจ่ายจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองไปแล้วภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือแจ้ง ซึ่งเป็นการมีหนังสือแจ้งก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ป. นั้น เป็นเรื่องการให้พรรค ป. คืนเงินสนับสนุนตามโครงการและแผนงานประจำปี 2543 ที่เหลือจากการใช้จ่ายตามโครงการและแผนงานประจำปี 2543 มิใช่คืนเงินสนับสนุนประจำปี 2542 ที่โจทก์ฟ้องด้วย ทั้งมิได้ระบุจำนวนเงินที่ต้องคืนแต่อย่างใด และปรากฏว่าหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ป. สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐก็ทำบันทึกถึงโจทก์ เรื่องรายงานผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในรอบปี 2542 และรายงานผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในรอบปี 2543 ว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของพรรคประชารัฐ เพื่อสรุปจำนวนเงินที่ใช้จ่ายไม่ถูกต้องหรือไม่มีหลักฐานการจ่ายที่แน่นอนเพื่อคืนกองทุนและอยู่ระหว่างการชำระบัญชีของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเป็นเอกสารที่ทำขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2544 และเดือนมกราคม 2545 ตามลำดับ ดังนี้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ป. แล้ว ก็ยังไม่มีจำนวนหนี้ที่แน่นอนที่พรรค ป. จะต้องชำระ แต่เมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 37 และโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ป. และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 และนาย ค. ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ป. คืนเงินสนับสนุน 1,700,142 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับหนังสือบอกกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ได้รับหนังสือบอกกล่าววันที่ 11 ธันวาคม 2557 นาย ค. ได้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 โดยกำหนดจำนวนเงินที่จะต้องส่งคืนแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และนาย ค. ไม่คืนภายในกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันพ้นกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และนาย ค. จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในส่วนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 นับถัดจากวันที่ 10 มกราคม 2558 และจำเลยที่ 11 นับถัดจากวันที่ 16 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นั้น แม้จำเลยทั้งสิบเอ็ดจะมิได้ฎีกา ก็ปรากฏว่ามีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ ปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นตามกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252

ค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ต้องชำระต่อศาลอันจะได้รับการยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 7 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ได้แต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นทนายความดำเนินคดีแทนโจทก์ ศาลจึงชอบที่จะกำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีเป็นผู้ชำระค่าทนายความแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนคำฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดให้จำเลยต้องชำระค่าทนายความต่อศาลในนามของโจทก์นั้น เป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงิน 1,700,142 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในส่วนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 นับถัดจากวันที่ 10 มกราคม 2558 และจำเลยที่ 11 นับถัดจากวันที่ 16 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ถัดจากนั้นให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะค่าทนายความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.462/2564

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายทะเบียนพรรคการเมือง จำเลย - นาย ว. กับพวก

ชื่อองค์คณะ ถมรัตน์ เลิศไพรวัน กาญจนา ชัยคงดี อารีย์ เตชะหรูวิจิตร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ - นายเอกชัย นุชิต ศาลอุทธรณ์ภาค 4 - นายสุรชาญ พูลสวัสดิ์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th