ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9211, 9261, 9262, 9266, 9259, 9260 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กับให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262, 9266 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 และที่ดินโฉนดเลขที่ 9211 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 4 และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นหมายเรียกนางนพดล เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9211, 9261, 9262, 9266, 9259 และ 9260 ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขาย กับจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อ และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262, 9266 ระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ขายกับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อ และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9211 ระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ขายกับจำเลยที่ 4 ผู้ซื้อ อีกทั้งให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9211 ระหว่างจำเลยที่ 4 ผู้ขายกับจำเลยร่วมผู้ซื้อ ให้ที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐ กับให้จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วม ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โดยเป็นบุตรของนายประเสริฐ ผู้ตาย กับนางคำเภา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 12 คน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556 ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมหรือตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ผู้ตายมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินจำนวนสองแปลง คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1700 และที่ดินโฉนดเลขที่ 5594 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาเอกสารสำคัญเกี่ยวกับที่ดินทั้งสองแปลง ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ระหว่างที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนชื่อในทะเบียนที่ดินทั้งสองแปลง จากชื่อผู้ตายเป็นชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปแบ่งแยกเป็นโฉนดแปลงย่อยจำนวน 14 แปลง ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกเป็นโฉนดที่ดินแปลงย่อยให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกนายประเสริฐ ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 วันที่ 5 มีนาคม 2557 และวันที่ 22 เมษายน 2557 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9211 (โฉนดเดิมเลขที่ 5594) 9261, 9262, 9266, 9259, 9260 (หนังสือรับรองการทำประโยชน์เดิม (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1700) ให้แก่จำเลยที่ 2 จากนั้นวันที่ 18 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 1 ถูกถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 2 จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262 และ 9266 ให้แก่จำเลยที่ 3 และเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน จำเลยที่ 2 ไม่ไปไถ่ถอน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262 และ 9266 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) และโฉนดที่ดินในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะที่ตนเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วย เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปของผู้จัดการมรดกไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาท และการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1722 จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจที่จะกระทำได้ นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวไม่ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 แม้จะทำให้โจทก์ผู้เป็นทายาทโดยธรรมได้รับความเสียหายไม่ได้รับมรดกที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จะว่ากล่าวกันต่างหาก การที่โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทส่วนของผู้ตายเป็นการได้ทรัพย์สินในอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนตามคำขอท้ายฟ้องหรือไม่ ประเด็นนี้ เห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินทรัพย์มรดก 2 แปลง ไปแบ่งแยกเป็นแปลงย่อย 14 แปลง และเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินแปลงย่อยให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 วันที่ 5 มีนาคม 2557 และวันที่ 22 เมษายน 2557 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 9211, 9261 ,9262, 9266, 9259 และ 9260 ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการทำสัญญาซื้อขายทรัพย์มรดกติดต่อกันทุกเดือน ซึ่งก็ได้ความตามคำให้การของโจทก์ในคดีที่โจทก์กับทายาทอื่นเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์มรดกของผู้ตายว่า จำเลยที่ 2 มีบ้านพักอยู่ใกล้กับผู้ตาย ห่างกันเพียงประมาณ 3 กิโลเมตร และจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปงานศพของผู้ตายด้วย โดยที่จำเลยที่ 2 เองก็ไม่ได้สืบพยานหักล้าง จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เองควรได้ทราบหรือรู้ว่าที่ดินพิพาทของผู้ตายเป็นทรัพย์มรดกซึ่งต้องแบ่งปันแก่ทายาทของผู้ตาย ตามพฤติการณ์จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์และทายาทของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะใช้ยันแก่โจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่ดินทั้งสองแปลงใหญ่รวมไปถึงที่ดินที่ถูกแบ่งย่อยออกไปอีกห้าแปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262 และ 9266 ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะใช้ยันแก่โจทก์ได้เช่นกัน โจทก์จึงเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามคำขอท้ายฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 รับซื้อฝากจากจำเลยที่ 2 โดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนขายฝากโดยสุจริตนั้น เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ไม่สุจริตในการนำคดีมาฟ้องนั้น เห็นว่า แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาดังกล่าวจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้ข้อเท็จจริงมาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วย มิใช่ได้ข้อเท็จจริงมาจากเรื่องนอกฟ้อง นอกคำให้การ หรือนอกประเด็น หรือที่ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความต้องนำสืบ คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ และคดีไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีโดยสุจริตหรือไม่ ดังนั้นที่จำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริตจึงเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) เช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 9259, 9260, 9261, 9262 และ 9266 ระหว่างที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.585/2566
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








