ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า ศาลพิพากษายกฟ้องตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่20164/2528 ของศาลชั้นต้นในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องหย่าโจทก์เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2528 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แกล้งสมยอมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน โดยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาอ้อมน้อย จำนวนเงิน 700,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้ง ๆ ที่ไม่มีมูลหนี้ จำเลยที่ 2 ได้นำเช็คดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 แกล้งสมยอมกันโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยผ่อนชำระตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2182/2529ต่อมาจำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของโจทก์และที่โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2182/2529 ทำการยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้ หรือให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ไปถอนการยึดทรัพย์สินทั้งหมดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2182/2529 โดยให้จำเลยที่ 2เป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในการถอนการยึด

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1จริง และมีสิทธิบังคับคดีเอาชำระหนี้จากสินสมรสของจำเลยที่ 1 ได้โจทก์ชอบที่จะขอกันส่วนเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว นอกจากนี้โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกโมฆียะกรรมหรือการฉ้อฉลภายใน 1 ปี นับแต่วันทราบ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยที่ 2 อ้างสิทธิตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2182/2529 เฉพาะส่วนที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ไปถอนการยึดทรัพย์ที่เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 2 ได้นำยึดไว้โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์ได้สมยอมแกล้งเป็นหนี้จำเลยที่ 2 และสมยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรส หรือให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมด ตามคำฟ้องดังกล่าว การยอมความของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องของบุคคลทั้งสอง ไม่มีผลเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์เพราะในการบังคับคดีจำเลยที่ 2 คงยึดทรัพย์ได้เฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488 ถ้าจำเลยที่ 2 นำยึดสินสมรสส่วนของโจทก์ โจทก์ก็ขอกันส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำยึดทรัพย์อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ 2 ต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th