ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ปรับ 62,478,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ขอให้ปล่อยชั่วคราวตนเองและได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว วงเงินประกัน 1,420,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 นำหลักทรัพย์ห้องชุดและเงินสด 300,000 บาท มาวางเป็นหลักประกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 ทิ้งอุทธรณ์และไม่นำเงินค่าปรับตามคำพิพากษาดังกล่าวมาชำระต่อศาลชั้นต้น ทั้งยังผิดสัญญาประกันด้วย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ปรับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ประกันตนเองเต็มตามสัญญาประกันและส่งหลักทรัพย์ประกันไปยังสำนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีนำเงินที่ได้จากการบังคับคดีมาชำระค่าปรับตามคำพิพากษา ต่อมาจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ประกันตนเองขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นสั่งลดค่าปรับตามสัญญาประกันให้คงเหลือ 100,000 บาท และให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับ 62,478,000 บาท แต่ไม่เกินสองปี ต่อมาเจ้าพนักงานศาลรายงานขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อนำหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 วางเป็นประกันในการปล่อยชั่วคราวที่ยังเหลือหลังนำไปชำระค่าปรับตามสัญญาประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท มาชำระเป็นค่าปรับตามคำพิพากษาและดำเนินการบังคับคดีโดยนำห้องชุดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระเป็นค่าปรับตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำเงินที่จำเลยที่ 2 วางเป็นประกันการปล่อยชั่วคราวมาชำระค่าปรับและออกหมายบังคับคดีจนมีการยึดห้องชุดที่จำเลยที่ 2 ใช้เป็นหลักประกันการปล่อยชั่วคราวเพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระค่าปรับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การที่ศาลชั้นต้นนำเอาเงินจำนวน 200,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ใช้เป็นประกันในการที่ขอให้ศาลชั้นต้นปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ระหว่างอุทธรณ์ที่ยังเหลืออยู่หลังจากนำไปชำระค่าปรับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ประกันผิดสัญญาประกันแล้วไปชำระค่าปรับอันเป็นโทษตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 และศาลชั้นต้นยังบังคับคดียึดห้องชุดของจำเลยที่ 2 เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระค่าปรับตามคำพิพากษาทั้งที่ศาลชั้นต้นให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับแล้ว ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับหรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้" ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจบังคับเอาค่าปรับจากจำเลยที่ 2 โดยวิธียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นกักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับด้วยนั้นก็เป็นกรณีที่ศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 2 จะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ จึงให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนซึ่งย่อมมีอำนาจกระทำได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้ โดยการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับดังเช่นจำเลยที่ 2 นี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29/1 บัญญัติถึงวิธีการในการบังคับคดีดังกล่าวรวมทั้งการตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับไว้ในวรรคหนึ่งถึงวรรคสามและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 29/1 วรรคสี่ ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบต่อการที่ศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง" จึงเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจบังคับชำระค่าปรับทั้งโดยวิธีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และอาจใช้วิธีสั่งกักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับไปพลางก่อน ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นไปด้วยกันได้ มิได้ถูกจำกัดว่าจะต้องใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงวิธีเดียวเท่านั้นแต่อย่างใด ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับไว้แล้วก็ตาม ศาลชั้นต้นก็ยังมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อใช้ค่าปรับได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ มาตรา 29/1 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำเงินที่จำเลยที่ 2 วางประกันการปล่อยชั่วคราวจำนวน 200,000 บาท ชำระค่าปรับตามคำพิพากษากับออกหมายบังคับคดียึดห้องชุดของจำเลยที่ 2 แม้อยู่ในระหว่างจำเลยที่ 2 ถูกกักขังแทนค่าปรับ ก็เป็นการดำเนินการในการบังคับชำระค่าปรับโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้คืนเงินหรือปล่อยทรัพย์แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2913/2561
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








