ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญเมื่อประมาณต้นปี 2528 จำเลยทั้งหกตกลงจะซื้อที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ในราคา 300,000 บาท โดยตกลงจะชำระเงินให้ครบถ้วนภายในวันที่ 31 กันยายน 2528 โจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่จำเลยทั้งหกแล้ว ต่อมาจำเลยทั้งหกได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมหกแปลง และได้ชำระค่าที่ดินให้โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 170,000 บาท คงค้างชำระ 130,000 บาท ซึ่งจำเลยทั้งหมดผิดนัดตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2528 เป็นต้นมาโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งหกชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระ จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ต่อมาได้ออกจากที่ดินทั้งหกแปลงไป โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยทั้งหกส่งมอบที่ดินคืนโจทก์แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4222 ถึง 4227และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหกแปลงให้โจทก์ด้วยค่าใช้ของจำเลยทั้งหก หากจำเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก

จำเลยทั้งหกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ระหว่างรอการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฎีกาสำหรับจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6 ไม่แถลงคัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งจำเลยทั้งหกมีชื่อเป็นเจ้าของและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขการห้ามมิให้โอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 31 โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งหกโอนไม่ได้โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ผิดสัญญา และโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว โจทก์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงกลับสู่ฐานะเดิมและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาเป็นชื่อโจทก์เพื่อโจทก์ได้กลับสู่ฐานะเดิม กรณีจึงมิใช่การโอนโดยนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อันต้องห้ามมิให้โอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 เพราะการห้ามโอนตามกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ห้ามเฉพาะการโอนโดยทางนิติกรรมเท่านั้น โจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นคดีนี้ได้เห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 วรรคหนึ่งไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะการโอนโดยทางนิติกรรมแต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีบัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคสอง ว่าความในวรรคหนึ่งมีให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ที่ดินนั้นตกทอดทางมรดกซึ่งการตกทอดทางมรดกก็มิใช่นิติกรรมจึงเป็นการเน้นให้เห็นเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวว่าแม้การที่ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนนี้ต้องเปลี่ยนมือไปเพราะการตกทอดทางมรดกซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายมรดกก็ยังต้องบัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ดังนั้น การใดที่เป็นเหตุให้ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนจะต้องโอนไปและการนั้นมิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ในมาตรา 31 วรรคสอง ย่อมไม่อาจโอนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยการนั้นได้ในทุกกรณี ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นไปตามที่โจทก์ฎีกา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th