ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ชนะคดีเรื่องเงินกู้และนำยึดที่ดินเพื่อขายทอดตลาดผู้ร้องยื่นคำร้องว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย 1 ใน 3 ซึ่งผู้ร้องได้ครอบครองอยู่ทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดแล้ว ขอให้งดขายทอดตลาดส่วนของผู้ร้อง ให้ขายเฉพาะส่วนของจำเลยทางทิศใต้
โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งให้งดขาย
ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ไต่สวนคำร้องต่อไปแล้วสั่งใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งให้งดขายทอดตลาดเฉพาะที่พิพาทตอนเหนือเฉพาะส่วนของผู้ร้องที่ครอบครองมา 1 งาน 9 วา 1 ศอก นอกนั้นให้ขายทอดตลาดต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องอ้างเพียงว่าได้ครอบครองอยู่ทางทิศเหนือเป็นส่วนสัด ขออย่าให้ขายส่วนที่ผู้ร้องครอบครองเท่านั้น ผู้ร้องไม่ได้ตั้งประเด็นว่าได้ครอบครองเป็นส่วนสัดมาเกิน 10 ปี ขนได้กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ครอบครองมานั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องครอบครองมาเกิน 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์ในทางครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
เมื่อโจทก์รับว่าผู้ร้องกั้นรั้วเฉพาะส่วนของผู้ร้อง 1 ใน 3 มาประมาณ 5 ปีแล้วแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่พิพาทกันนานแล้ว ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลย ข้อตกลงนี้ย่อมผูกมัดผู้ร้องและจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทเท่านั้นเพราะโจทก์ไม่ได้อยู่ในฐานะบุคคลภายนอกดังบัญญัติไว้ในมาตรา 1299 วรรค 2ไม่มีสิทธิจะเอาส่วนของผู้ร้องมาขายทอดตลาด
ในกรณีที่ผู้ร้องมิได้ร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 หากแต่เป็นการขอแบ่งแยกทรัพย์ตามสัญญาที่ผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงกันไว้ กรณีเข้ามาตรา 287 จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามมาตรา 288
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









