สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2565

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2565

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1605 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 วรรคหนึ่ง, 246, 252

โจทก์ทั้งสี่บรรยายคําฟ้องและมีคําขอมาในฟ้องให้กําจัดจำเลยมิให้รับมรดกของ ว. เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทน ว. เมื่อ ว. ถึงแก่ความตายที่ดินจึงตกเป็นทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดก ว. แจ้งให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินและให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากจำเลยเป็นโจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดก แต่จำเลยไม่ดำเนินการ กลับนําที่ดินมรดกไปทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบุคคลภายนอกแล้วรับเงินมัดจำไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทายาท จำเลยจึงต้องถูกกําจัดมิให้รับมรดกของ ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ก็มีคำขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกของ ว. มาในคำฟ้องแล้ว และในส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน โจทก์ทั้งสี่ก็มีคําขอมาในฟ้องแล้วด้วยว่า หากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่ ขอให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ การขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นเรื่องวิธีการในชั้นบังคับคดี ซึ่งหากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่โดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือมีเหตุอื่นใดให้จำเลยไม่สามารถส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพื่อดำเนินการนําที่ดินไปแบ่งปันแก่ทายาทได้ โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น กรณีจึงต้องพิพากษาให้กําจัดจำเลยมิให้รับมรดกของ ว. และพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่ ให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ไว้ในคําพิพากษา อันเป็นการที่คําพิพากษาของศาลที่ชี้ขาดตัดสินคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคําฟ้องทุกข้อหา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 และ 252

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 เนื้อที่ 148 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของ นางแหวน เจ้ามรดก ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 2953 แก่โจทก์ทั้งสี่ หากไม่ส่งมอบให้โจทก์ทั้งสี่สามารถออกใบแทนได้ ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 เนื้อที่ 148 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแหวน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากโอนไม่ได้ ให้ชดใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสี่ 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้พิพากษาหรือมีคำสั่งกำจัดจำเลยมิให้รับมรดกของนางแหวน

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 เนื้อที่ 148 ตารางวา ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแหวนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแหวน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ทั้งสี่และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 2953 เนื้อที่ 148 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งสี่ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งสี่ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ประการแรกว่า การที่จำเลยมีพฤติการณ์ยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้ โดยรู้อยู่แล้วว่าทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทายาทอื่น ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก โดยต้องระบุถึงการถูกกำจัดมิให้รับมรดกของจำเลยไว้ในคำพิพากษาด้วย และประการต่อมาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการออกใบแทนโฉนดที่ดินเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินที่จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลไม่มีอำนาจบังคับเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งมิใช่คู่ความในคดี และเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสี่ต้องไปดำเนินการในชั้นบังคับคดีนั้น โจทก์ทั้งสี่เห็นว่าเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปโดยความสะดวก จึงขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้เพื่อการบังคับคดีต่อไปว่า หากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่ ขอให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินได้นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนนางแหวน เมื่อนางแหวนถึงแก่ความตายที่ดินจึงตกเป็นทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งสี่แจ้งให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 2953 และให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากจำเลยเป็นโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยไม่ดำเนินการ และการที่จำเลยนำที่ดินของนางแหวนไปทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบริษัท อ. โดยได้รับเงินมัดจำค่าที่ดินมาแล้ว เป็นการทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทายาทต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก ซึ่งโจทก์ทั้งสี่มีคำขอมาในฟ้องขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดก เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 2953 แทนนางแหวน เมื่อนางแหวนถึงแก่ความตายที่ดินจึงตกเป็นทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดกนางแหวนแจ้งให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินและให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากจำเลยเป็นโจทก์ทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดกแต่จำเลยไม่ดำเนินการ กลับนำที่ดินมรดกนั้นไปทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบริษัท อ. โดยได้รับเงินมัดจำค่าที่ดินมาแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทายาท จำเลยจึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนางแหวนเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ก็มีคำขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกของนางแหวนมาในคำฟ้องแล้ว และในส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินนั้น โจทก์ทั้งสี่ก็มีคำขอมาในคำฟ้องว่า หากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่ ขอให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ จึงเห็นว่าการขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นเรื่องวิธีการในชั้นบังคับคดี ซึ่งหากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือมีเหตุอื่นใดให้จำเลยไม่สามารถส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพื่อดำเนินการนำที่ดินไปแบ่งปันแก่ทายาทได้ โจทก์ทั้งสี่ก็มีสิทธิดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น กรณีจึงต้องพิพากษาให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกของนางแหวน และพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่ ให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ไว้ในคำพิพากษาอันเป็นการที่คำพิพากษาของศาลที่ชี้ขาดตัดสินคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 252 ฎีกาโจทก์ทั้งสี่สองประการนี้ฟังขึ้น

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ประการสุดท้ายว่า โจทก์ทั้งสี่มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนแก่กองมรดกของนางแหวนให้จำเลยชดใช้เงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ เป็นกรณีที่อาจเกิดกรณีที่กฎหมายไม่เปิดช่องให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามคำพิพากษา จึงต้องมีการกำหนดให้ใช้ราคาเป็นค่าเสียหาย ซึ่งศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเป็นเงื่อนไขในกรณีที่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามคำพิพากษาได้ไว้นั้น เห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้ต่อธนาคาร ก.และได้ปลอดจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 มาแล้ว โดยต่อมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเฉพาะส่วน เนื้อที่ 148 ตารางวา ของที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 ให้แก่บริษัท อ. แต่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์แก่บริษัทผู้จะซื้อได้ เพราะทายาทของแหวนได้แจ้งอายัดที่ดินไว้ จำเลยจึงถูกฟ้องเรียกค่ามัดจำและค่าเสียหายต่อศาลจังหวัดปทุมธานีตามสำเนาคำพิพากษาศาลจังหวัดปทุมธานีฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2561 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 147/2561 อันเป็นการแสดงว่า ปัจจุบันที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 ยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ย่อมสามารถนำที่ดินนั้นกลับคืนสู่กองมรดก เพื่อนำไปแบ่งปันแก่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางแหวนได้ การที่โจทก์ทั้งสี่ขอให้ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2953 คืนแก่กองมรดกของนางแหวน ให้จำเลยชดใช้เงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ จึงไม่จำเป็นในชั้นนี้ ฎีกาโจทก์ทั้งสี่ประการนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกของนางแหวน และหากจำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 2953 แก่โจทก์ทั้งสี่ ให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.314/2565

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ส. กับพวก จำเลย - นาย พ.

ชื่อองค์คณะ จิราวรรณ สุญาณวนิชกุล สุทิน นาคพงศ์ ชูศักดิ์ จำปา

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่ง - นายจรัล เตชะวิจิตรา ศาลอุทธรณ์ - นางอรพันธ์ เพ็ญตระการ

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE