ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2482 นายตันยู่อีตาย มีที่ดินและตึกเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยที่ 1 และ ด.ญ.อีเจง ด.ช.ยิมอาน ซึ่งเป็นบุตรนายตันยู่อี เกิดกับจำเลยที่ 1 เป็นภรรยาเมื่อ พ.ศ. 2486 จำเลยที่ 1 เอาที่ดินและตึกไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เด็กทั้งสองมาขอให้อัยการว่าคดี อัยการจึงเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมซื้อขาย ศาลจังหวัดพระตะบองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ขายแต่สิทธิ์ส่วนมรดกที่จะได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 จำเลยที่ 1 กับเด็กสมคบกันมาฟ้องร้องเอาเปรียบจำเลยอื่น ๆจึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อเจ้ามรดกตายแล้วบรรดาทายาทก็เก็บค่าเช่าทรัพย์รายพิพาทแบ่งกัน จำเลยที่ 1 รับส่วนแบ่งในนามของตนและเด็กทั้งสอง เห็นว่าเด็กทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์รายพิพาท เพราะได้ครอบครองมรดกมาแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจจะขายแทนเด็ก ขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(1) แม้จะถือว่า เด็กมีเพียงทรัพย์สิทธิ์ จำเลยที่ 1 ก็ทำสัญญาแทนไม่ได้ ขัดต่อมาตรา 1546(4)(6) จึงพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลสั่งทำลายสัญญาทั้งฉบับไม่ถูกศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว เพราะสัญญาซื้อขายรายนี้แบ่งแยกเป็นตอน ๆ ไม่ได้ ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันกับผู้ซื้อเพียงไรก็คงมีอยู่ตามกฎหมาย
ที่จำเลยว่าซื้อโดยสุจริต ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 เอาทรัพย์ของเด็กไปขายไม่ได้ ฉะนั้นสัญญาจึงไม่ผูกพันเด็กจึงพิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา







