คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2542
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 224 วรรคหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากโจทก์และจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์จึงระงับไป เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยครอบครองแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าอุทธรณ์ของจำเลยเช่นนี้มิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์นั้นต้องเป็นค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง จึงไม่มีจำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ เมื่อคดีนี้ที่ดินพิพาทมีราคา 40,500 บาทและทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนดังกล่าว จำเลยย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นบ้านเลขที่ 79/2 แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าโจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยพร้อมบริวาณรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 79/2ออกไปจากที่ดิน พร้อมส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อต้นปี 2521 โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้วจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์การที่โจทก์นำสัญญาเช่ามาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง และม่คำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลย หากไม่ส่งมอบให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 79/2 ออกไปจากที่ดินของโจทก์ พร้อมส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาทนับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกามีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากโจทก์ และจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์จึงระงับไป ดังนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยครอบครองแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่า อุทธรณ์ของจำเลยจึงมิใช่อุทธรณ์ในในปัญหาข้อกฎหมาย
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีอีกว่า อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าเมื่อคำนวณค่าเสียหายรวมกับราคาที่ดินพิพาทแล้วมีราคาเกินห้าหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเห็นว่า จำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์นั้นต้องเป็นค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้องจึงไม่มีจำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ เฉพาะที่ดินพิพาทมีราคา 40,500 บาท จึงมีทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย เริงศักดิ์ เมษ ประสาท จำเลย - นาง วิมลรัตน์ นุ สุข
ชื่อองค์คณะ ทองหล่อ โฉมงาม สกนธ์ กฤติยาวงศ์ กมล เพียรพิทักษ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan