ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2โจทก์ในสำนวนที่สองว่า โจทก์ที่ 3 โจทก์ในสำนวนที่สามว่าโจทก์ที่ 4 โจทก์ในสำนวนที่สี่ว่า โจทก์ที่ 5 และจำเลยทั้งสี่สำนวนว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ

โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องใจความทำนองเดียวกันว่า เดิมที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 254 และ 3591 เป็นของนายลับ กลางเถื่อน ผู้ตายก่อนตายนายลับทำสัญญาแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 254 ให้โจทก์ที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ในแปลงที่แบ่งแยกเลขที่ 266 และ 267 กับ 264และ 265 ตามลำดับ และทำสัญญาแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3591เฉพาะส่วนซึ่งภายหลังแบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 257 ให้โจทก์ที่ 4กับเฉพาะส่วนซึ่งภายหลังแบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 272 และ 274ให้โจทก์ที่ 5 ในขณะเดียวกันนายลับได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินดังกล่าวนี้ให้จำเลยที่ 3 หลังจากนายลับถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ทั้งห้าต่างเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกองมรดกของนายลับโดยนางละเอียด บัวกลับ นายประจิม เพชรากุล ผู้รับมรดกและนายจันทร์ รักษาจันทร์ ผู้จัดการมรดกให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขาย ศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยในคดีดังกล่าวจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งห้า แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากที่ดินตกเป็นของจำเลยที่ 3ตามพินัยกรรม เนื่องจากจำเลยที่ 3 เป็นวัด ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ไม่อาจจดทะเบียนโอนได้ ต่อมาศาลมีคำสั่งถอนนายจันทร์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และตั้งจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกของนายลับแทน โจทก์ทั้งห้าบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้า แต่จำเลยที่ 1และที่ 2 เพิกเฉยจนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 การที่นายลับทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งห้าไว้ก่อนตายเป็นการทำนิติกรรมจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของตนด้วยความตั้งใจข้อกำหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทจึงเพิกถอนไป ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกที่จะตกทอดไปยังจำเลยที่ 3 โจทก์ทั้งห้าได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ตนทำสัญญาซื้อขายกับนายลับ โดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว และได้ยื่นฟ้องกองมรดกของนายลับจนได้ที่ดินมาโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำในศาลโจทก์ทั้งห้าจึงเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยที่ 3 โดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าเสียเปรียบขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 254, 257, 272 และ 274 ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์จังหวัดอุทัยธานี ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายลับยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 254 ให้เป็นไปตามรูปแผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นตามคำขอของนายลับขณะมีชีวิตอยู่เมื่อรังวัดแบ่งแยกโฉนดแล้วให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนที่แบ่งแยกแปลงเลขที่ 266 เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน26 ตารางวา และแปลงที่แบ่งแยกเลขที่ 267 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน62 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 แปลงที่แบ่งแยกเลขที่ 264เนื้อที่ 1 ไร่ และแปลงที่แบ่งแยกเลขที่ 265 เนื้อที่ 1 ไร่76 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 3 และโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 257 เนื้อที่1 งาน 56 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 4 โฉนดเลขที่ 272 และ 274 เนื้อที่แปลงละ 60 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 5 หากจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน

จำเลยทั้งสามให้การทั้งสี่สำนวนและแก้ไขคำให้การในสำนวนที่สองใจความทำนองเดียวกันว่า สัญญาที่โจทก์ทั้งห้าทำกับนายลับเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของนายลับอยู่ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน ฟ้องโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความ เพราะไม่ฟ้องภายใน 10 ปี นับแต่นายจันทร์ผู้จัดการมรดกคนเดิมจดทะเบียนใส่ชื่อของตนไว้ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายลับและไม่ฟ้องภายใน 10 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลอีกทั้งไม่ฟ้องเพิกถอนการโอนอันเป็นการฉ้อฉลภายใน 1 ปี นับแต่วันจดทะเบียนโอนมรดกระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 รับโอนมรดกของนายลับโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 กับผู้จัดการมรดกของนายลับไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 เพราะผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินให้บุคคลอื่นโจทก์ทั้งห้าไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง

ในระหว่างพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน2516 นายลับ กลางเถื่อน เจ้ามรดก ได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินโฉนดเลขที่ 254, 257, 272 และ 274 ให้แก่จำเลยที่ 3 ตามสำเนาพินัยกรรมเอกสารหมาย จล.1 โดยก่อนทำพินัยกรรมเจ้ามรดกได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 254 (บางส่วน) ไว้กับโจทก์ที่ 3 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 257 ไว้กับโจทก์ที่ 4และทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 272 และ 274 ไว้กับโจทก์ที่ 5และหลังจากทำพินัยกรรมแล้วเจ้ามรดกได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 254 (บางส่วน) ไว้กับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2516 โจทก์ทั้งห้าต่างได้ยื่นฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก ศาลได้มีคำพิพากษาความยอมเมื่อปี 2517 รายละเอียดตามสำเนาคำพิพากษาความยอมท้ายฟ้องแต่ละสำนวน ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2524 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนผู้จัดการมรดก (คนเดิม) และตั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกแทนตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จล.2 ต่อมาวันที่14 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้ จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 254 เฉพาะส่วนตามพินัยกรรมและที่ดินโฉนดเลขที่ 257, 272 และ 274 ให้แก่จำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่สำนวน

โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 19 มิถุนายน 2538ดังกล่าว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าว่าโจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 254, 257, 272, 274 ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่นายลับ กลางเถื่อน เจ้ามรดกทำไว้กับโจทก์ทั้งห้าก่อนที่นายลับจะถึงแก่ความตายเป็นสัญญาจะซื้อจะขายมีเพียงบุคคลสิทธิโจทก์ทั้งห้ายังไม่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนที่จะมีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่ตามฟ้องของโจทก์ทั้งห้าก็ได้อ้างถึงสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นซึ่งเดิมโจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องกองมรดกของนายลับ โดยทายาทผู้รับมรดกและนายรินทร์ (ที่ถูกน่าจะเป็นนายจันทร์) รักษาจันทร์ผู้จัดการมรดกคนเดิมของนายลับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวและทายาทผู้รับมรดกและผู้จัดการมรดกของนายลับได้ยินยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้า และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว แม้ต่อมาผู้จัดการมรดกคนเดิมที่ตกลงยินยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้าจะถูกศาลชั้นต้นเพิกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกและตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่แทนคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวก็ยังมีผลผูกพันถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2ผู้จัดการมรดกคนใหม่ และจำเลยที่ 3 ผู้ได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม เพราะนายจันทร์ผู้จัดการมรดกคนเดิมกระทำไปในฐานะผู้จัดการมรดกของนายลับ และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้จัดการมรดกคนใหม่ก็มีหน้าที่เช่นเดียวกับนายจันทร์ที่จะต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกของนายลับให้แก่ทายาทหรือมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ที่เจ้ามรดกได้ก่อไว้ก่อนตายด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 ผู้ได้รับโอนที่ดินพิพาทมาตามพินัยกรรมของนายลับก็เป็นผู้รับทรัพย์มรดกโดยพินัยกรรม เมื่อจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทของเจ้ามรดกมาจำเลยที่ 3 ก็ต้องรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดที่เกี่ยวกับที่ดินที่รับโอนมานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600, 1601 และ 1651(2) จำเลยทั้งสามจึงมีหน้าที่ต้องจัดการโอนที่ดินพิพาทตามที่นายลับเจ้ามรดกทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้กับโจทก์ทั้งห้าและศาลได้พิพากษาให้โอนตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1และที่ 2 จัดการโอนที่ดินพิพาทด้วย แต่เจตนาการฟ้องของโจทก์ทั้งห้าก็เพื่อต้องการให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของนายลับโอนที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาท จึงมีหน้าที่ต้องจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้าตามกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้าได้และแม้จำเลยที่ 3 จะเป็นวัด การที่ศาลให้จำเลยที่ 3โอนที่ดินพิพาทซึ่งตกมาเป็นของจำเลยที่ 3 โดยพินัยกรรมดังกล่าวเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ปฏิบัติการชำระหนี้ของเจ้ามรดกที่ก่อไว้ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย มิใช่การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดที่ธรณีสงฆ์หรือศาสนสมบัติกลางอันจะต้องกระทำโดยพระราชบัญญัติตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34แต่เนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยที่ยังมีข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การที่จะต้องวินิจฉัยอยู่อีกและข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยนี้อาจเป็นผลให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงไปสมควรที่ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความให้สิ้นกระแสความเสียก่อนศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยในประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3)(ข) และมาตรา 247"

พิพากษายก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้น ดำเนิน กระบวนพิจารณา ต่อไป แล้ว มี คำพิพากษา ไป ตาม รูป ความ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th